ปิยุบตร จุดไฟสงคราม โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความขัดแย้ง ดันทุรังแก้กฎหมายมาตรา 112 ฟันธง ไม่มีทางสำเร็จ
เมื่อพรรคก้าวไกล เสนอแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 การแก้กฎหมายมาตรานี้ ปิยบุตร เป็นคนหนึ่งที่ได้จุดประกายเรื่องนี้ขึ้นในสังคมไทยในนามคณะนิติราษฎร์ โดยมีวรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็นผู้นำในขณะนั้น ข้อเสนอเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ในวันที่ 18 กันยายน 2554 สิ่งที่นิติราษฎร์เสนอในวันนั้น ก็คือ ต้องการแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ทั้งในแง่ตัวบทกฎหมาย การบังคับใช้ และอุดมการณ์ เพราะมีความเห็นว่ากฎหมายอาญามาตรา 112 มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นเรื่องความสมดุลระหว่างความร้ายแรงของการกระทำอันเป็นความผิดกับโทษที่ผู้กระทำความผิดนั้นควรได้รับ ย้ำว่าเป็นโทษที่หนักเกินไป สำหรับการเปิดประเด็นของนิติราษฎร์เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
มาปี 2564 พรรคก้าวไกล นำเสนอแก้กฎหมายมาตรา 112 ซึ่งไม่มีทางสำเร็จ แล้วทำไมจึงต้องนำเสนอการแก้ไขมาตรา 112 แน่นอนว่าเพราะต้องการจุดไฟสงครามจุดไฟปฏิวัติ เอาเรื่องการดำเนินการแก้ไขกฎหมายในสภามาเชื่อมโยงกับการปลุกม็อบข้างนอก หวังว่าจะให้เกิดความรุนแรงนำไปสู่ไฟสงครามแห่งการปฏิวัติและจะได้ดึงต่างชาติเข้ามา เรื่องที่พวกเขาทำเป็นไปด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาในทฤษฎีสงครามปฏิวัติ สงครามประชาชน ไม่เคยอ่านความรู้สึกของประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่เป็นอย่างไร ไม่เข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่จงรักภักดีและไม่เคยมีปัญหากับกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะทุกคนไม่คิดที่จะไปกล่าวว่าร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะคนไทยรู้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีคุณค่ากับชาติบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน หล่อหลอมความเป็นชาติของเราเอาไว้ได้อย่างไร และแม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน สถาบันพระมหากษัตริย์มีแต่พระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนคนไทย ไม่ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่กดขี่เหยียบย่ำ เอารัดเอาเปรียบตามทฤษฎีของการปฏิวัติ แต่พวกนี้เห็นว่าการที่พระองค์ท่านอยู่ในฐาานะอันสูงส่ง ก็ทนไม่ได้ ภายใต้ความคิดอันเป็นมิจฉาทิฏฐิว่า คนต้องเท่าเทียมกัน จึงรู้สึกอิจฉาริษยา ไปทบทวนได้เลยว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีแต่ช่วยจริงหรือไม่ มีอะไรที่กดขี่ข่มเหงขูดรีดเรา ส่วนสถานะการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนคนไทย ย่อมจะต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว
ความโง่เง่าของคณะที่จะทำตัวเองให้มีความพร้อมแตกแยกกัน ที่ระดมคนเข้ามาร่วมกัน ก็มีแต่ความโง่เขลาเบาปัญญา คิดไม่เป็น ถูกชักนำชักจูงได้ง่าย ต้องการเป็นวีรบุรุษ วีรสตรี ถูกปลุกถูกเชิดชูขึ้นมาหน่อยก็บ้าคลั่งกันไป นี่คือภาวะวิสัยกับอัตตะวิสัย ระหว่างภาวะวิสัยของคนไทยกับอัตตะวิสัยของกลุ่มที่ต้องการปฏิวัติ สำหรับภาวะวิสัยของโลก พวกนี้ก็อ้างโลกว่าเสรี ไปถึงไหนกันแล้ว สิทธิมนุษยชน และอัตตะวิสัยของความเป็นคนไทย คนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอม ดังน้ัน พวกนี้รู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ยังนำเสนอแก้มาตรา 112 เหตุผลที่พวกนี้จุดไฟปฏิวัติ ยืนยันแก้ไขมาตรา 112 ก็เพราะม็อบที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และจากการเปิดหน้าชกของปิยบุตร เมื่อวันที่ 14 มกราคม เพราะแกนนำสามกีบ ออกมาโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยข้อมูลบิดเบือนที่ได้รับ จนพล.อ.ประยุทธ์ ทนไม่ไหวประกาศจะบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรา ก่อนหน้านั้นบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ไม่อยากลงโทษเรื่องกฎหมายมาตรา 112 จึงเป็นช่องให้พวกนี้ ทำผิดซ้ำๆซากๆ แต่ในทางกฎหมายมันไม่ได้ ดังนั้น เมื่อมีการกระทำความผิดก็ต้องดำเนินคดีไป ตอนนั้นก็โหมกระหน่ำ เจอกันไปคนละ 5 คดี 10 คดี กว่า 50-60 คน ปิยบุตรก็ออกมาโพสต์ทันทีว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีปัญหาในทุกมิติ ทั้งในแง่ของตัวบทกฎหมาย ในแง่ความไม่ได้สัดส่วนของอัตราโทษ ในแง่การนำมาใช้และตีความ ในแง่ของอุดมการณ์ที่กำกับอยู่เบื้องหลัง ดังที่ผมเคยแสดงความเห็นไว้ในหลายโอกาส ปัจจุบัน สถานการณ์การนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาใช้ ก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และมีทีท่าจะแรงต่อเนื่องไปอีก
ก็แน่นอนว่า ก็ต้องเอากฎหมายมาใช้ เพราะพวกม็อบออกมาโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าไม่ดำเนินคดีสิแปลก ถ้าไม่มีการโจมตี ไม่มีการว่าร้าย ไม่มีการบิดเบือน และจะมีการนำกฎหมายมาใช้ได้ไหม ปิยบุตรบอกว่า สภาผู้แทนราษฏร ซึ่งเป็น ผู้แทน ของ ราษฎร ต้องผลักดันร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยเร็วที่สุด เราปล่อยให้ “อนาคตของชาติ” โดนตั้งข้อหา ดำเนินคดีแบบนี้ต่อไปไม่ได้ พวกเขาเสียสละเสรีภาพ และอาจรวมถึงร่างกาย ชีวิตด้วย เพื่อการต่อสู้ เทียบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แล้ว สิ่งที่เสียไปน้อยกว่าพวกเขามาก ต้องไม่ลืมว่า เงินเดือน ตำแหน่ง คะแนนเสียงจำนวนมาก ของ ส.ส.หลายคน ก็มาจากพวกเขา ดังนั้น การแสดงความกล้าหาญ ต่อสู้เพื่อพวกเขา เพื่ออนาคตของชาติ เพื่อประเทศไทย ด้วยการผลักดันแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างยิ่ง
ถ้าอนาคตของชาติอยู่ในมือพวกนี้จริงๆ น่าเป็นห่วงสำหรับลูกหลานของเราในอนาคต น่าเป็นห่วงสำหรับประเทศชาติในอนาคต เพราะถ้าพวกนี้เป็นอนาคตของชาติและเติบโตไปในวันข้างหน้า ไร้สติ ไร้ปัญญาไตร่ตรอง ไม่เรียนรู้เข้าใจความจริง ทำอะไรทำไปตามมิจฉาทิฏฐิ บ้านเมืองวินาศสันตะโรฉิบหายวายวอดหมด บ้านเมืองจะเดินหน้าได้ด้วยการเรียนรู้เข้าใจความจริง มีสตินิ่งพิจารณา ใช้ปัญญาไตร่ตรองว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงเป็นยังไง ปัจจัยภายในของเราเปลี่ยนแปลงเป็นยังไง จะทำยังไงให้เกิดความสัมพันธ์ทั้งในระบบเศรษฐกิจ การเมือง สังคม พวกนี้ไม่เคยพูด สิ่งที่เคลื่อนไหวทั้งหมดคือออกมาโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ตาามที่ธนาธรและปิยบุตร ปั่นหัวอย่างเดียว
ปิยบุตรยังบอกอีกว่า กลางเดือนมีนาคม 2561 สมัยผมเริ่มก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ผมยอม “กลืนเลือด” ตัดสินใจขัดแย้งกับมโนธรรมสำนึกของผมอย่างสิ้นเชิงมาแล้ว ด้วยการประกาศว่า ไม่มีนโยบายแก้ 112 ทั้งนี้ ก็เพื่อขจัดอุปสรรคขัดขวาง ให้พรรคก่อตั้งได้ ให้พรรคได้ไปต่อ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้ เพื่อฝ่าแรงเสียดทานจนไปสู่การลงเลือกตั้งได้ และด้วยหวังว่าเขาจะปรานีให้พรรคอนาคตใหม่ได้ต่อสู้ทางการเมือง นั่นกลายเป็น “ตราบาป” ที่ฝังในจิตใจของผม และเป็น “แผลเป็น” ในชีวิตทางการเมืองของผม จนวันนี้ก็ยังคงก่อกวนอยู่ในความคิดจิตใจของผมเสมอ
สำหรับเนื้อหาที่พรรคก้าวไกล ยกเลิกเรื่องมาตรา 112 ทำไมต้องยกเลิกเพราะมาตรา 112 บอกว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี พวกนี้เอามาผ่าเป็นมาตรา 135/5 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 135/6 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ของเดิม จำคุกตั้ง 3-15 ปี ที่บอกว่าโทษแรง แต่คนที่ทำผิดเขาไม่กลัว ในกรณีนี้บอกว่า สิทธิมนุษยชน ไปจัดลำดับชั้น พระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท ทั้งๆที่ใน 3 พระองค์อยู่ในสถานะผู้เป็นประมุข แต่ก็เอามาแยก ยังไม่เท่านั้น ที่ร้ายหนักเข้าไปก็คือ ไปเติมมาตรา 135/7 ผู้ใดติชม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้นั้นไม่มีความผิดตามมาตรา 135/5 และมาตรา 135/6 แบบนี้บ้านเมืองจะอยู่ยังไง มาตรา 135/7 แยกออกเป็น 3 เหตุ 3 ผล 3เหตุคือ ผู้ใดติชม เหตุที่ 1 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เวลาติชม แสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความ มันก็อ้างว่าโดยสุจริตทั้งนั้น ก็ต้องไปสู้กันในศาล ความหมายของติชม แสดงความคิดเห็นโดยสุจริตมันบานปลายไปแล้ว และผลที่เขียนไว้มันทำให้ย้อนกลับไปครอบคลุมเหตุ 3 ข้อนี้หมด ว่า 1.เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือ 3.เพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น ภายใต้มาตรานี้ ต่อไปมันจะโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ จะบิดเบือนให้ร้าย ก็จะอยู่ภายใต้ 3 เหตุผลที่ว่าทั้งสิ้น คือรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์สาธารณะ
มาตรา 135/8 ความผิดฐานในลักษณะนี้ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นความผิดนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า พระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ถ้าเขียนแบบนี้ก็ต้องกลับไปแก้รัฐธรรมนูญ
มาตรา 135/9 ความผิดในลักษณะนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ จะให้ใครมายอมความ จะให้พระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาทมาเป็นคู่กรณีกับประชาชน แต่ก็ไปเขียนแก้ไว้ว่า ความผิดในลักษณะนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
หมายความต่อไปใครกระทำความผิด มันไม่ใช่ความผิดกฎหมายอาญาที่ตำรวจจะไปจับกุมได้ ต้องให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์ แต่สำนักพระราชวังอยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ ก็เท่ากับเอาสถาบันมาเป็นคู่ความขัดแย้งกับประชาชน ทั้งๆที่ความผิดต่อพระมหากษัตริย์ เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน แล้วยังไปแก้ในมาตรา 135/10 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท ด่าประมุขต่างชาติให้ปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท กฎหมายเดิมบอกว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศต้องระวางโทษ 1 ปี-7 ปี
ต่อมาแก้เรื่องทูต มาตรา 135/11 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท กฎหมายเดิมจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน -5 ปี คุ้มครองทูตก็ให้ยกเลิกหมด ไม่เพียงเท่านั้น ก็ไปถึงระชาชนคนธรรมดา ไปถึงศาล ไปถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเคยกำหนดโทษไว้ แก้เป็น มาตรา 136 ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ผู้ใดดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี หรือกระทำการขัดขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาล ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท อย่างนี้ก็ด่าศาลกันไม่ว่างเว้น วิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาล เละแน่นอน เพราะจ่ายแค่ค่าปรับ
กฎหมายปัจจุบัน ดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทศาล จำคุก 1 ปี-7ปี มันถึงทำให้สถาบันศาลศักดิ์สิทธิ์อยู่ ส่วนบุคคลธรรมดา เหลือแค่โทษปรับ ทำไมต้องแก้แบบนี้ เพราะต้องการที่จะลดโทษกฎหมายอาญามาตรา 112 ต้องการลดโทษการกระทำต่อสถาบัน จึงมาลดโทษมาตราอื่นให้ดูสอดคล้องกัน แต่ไม่คิดว่าประเทศจะเสียหายมากเท่าไหร่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคิดเพื่อที่จะนำพาไปสู่การจุดไฟสงครามปฏิวัติ จากกรณีที่ไปหลอกเด้กมาให้ถูกจับคุม โดยตัวเองเป็นอีแอบอยู่ข้างหลัง วันนี้ทำท่าว่าจะออกมาต่อสู้เพื่อเด็กๆ แน่จริงออกมาม็อบเลย ออกมานำเองเลย เอาให้ชัดๆ เปิดหน้าอย่าไปทำเป็นอีแอบหลบซ่อน ย้ำว่าที่ทำไปนั้น ไม่มีทางสำเร็จ เพราะหมอวรงค์ ใช้หนึ่งแสนชื่อไปคัดค้าน นั่นแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนว่าประชาชนรู้สึกอย่างไร ภายในวันเดียวคนคัดค้านเป็นแสนชื่อ มีเลขบัตรประชาชนหมดทุกคน แต่ที่ไม่สำเร็จจริงๆอยู่ที่รัฐสภา เสียงรัฐบาลวันนี้ ส.ส. ทั้งหมดมีอยู่ 487 คน เป็นของรัฐบาล 277 คน เป็นของฝ่ายค้าน 210 คน ในฝ่ายค้านเป็นของก้าวไกล 53 คน ไม่เอา 9 คน ก็เหลือ 46 คน เพื่อไทยมี 134 ไม่รู้ว่าจะเอาหรือไม่เอา ช่วงนี้ดูท่าทียาก เพราะไปสนับสนุนก้าวไกลตลอด ทั้งๆที่เห็นชัดเจนว่า พวกนี้โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ตลอดเวลา นาทีต้องขอคารวะ 9 ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่ยังเห็นกับบ้านเมือง เห็นแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ไปร่วมจุดไฟสงคราม ประกอบไปด้วย นายวินท์ สุธีรชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายเกษมสันต์ มีทิพย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.ส.วรรณวรี ตะล่อมสิน ส.ส.กทม. นายทศพร ทองศิริ ส.ส.กทม. นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ส.ส.กทม. นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี นายเอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย นายพีรเดช คำสมุทร ส.ส.เชียงราย 9 คน ของก้าวไกลขอคารวะ