จากกรณีที่ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นั้นมีวีรกรรมมากมายให้คนที่คอยติดตามเวทีการเมืองต้องพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการแสดงออกสนับสนุนม็อบคณะราษฎร แบบออกหน้าออกตา
จนปรากฏตัวให้เห็นในพื้นที่ชุมนุมอยู่บ่อยๆ โดยอ้างว่ามาสังเกตการณ์บ้าง มาดูแลประชาชนชนบ้าง ทั้งนี้ ในช่วงหลังที่เหล่าแกนนำม็อบเริ่มเปิดหน้าจาบจ้วงสถาบัน การเสนอข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน การโพสต์ให้ร้ายจนแกนนำม็อบโดนหมายเรียกมาตรา112 กันเป็นแถว แต่ละคนโดนคดียาวเป็นหางว่าว
ต่อมา ทราย เจริญปุระ ก็ได้หมายเรียก ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งทางสน.บางเขนได้นัดให้ไปรายงานตัวที่ สน.บางเขน วันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา หลายคนมองว่า การที่ทราย โดนหมายเรียก ม.112 นั้น ก็ควรที่จะโดนข้อหาให้การสนับสนุนม็อบจาบจ้วงสถาบัน ตามมาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น
ล่าสุด นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย ได้พูดถึงกรณีของ เจี๊ยบ ก้าวไกลที่ช่วงนี้เริ่มไม่ค่อยได้ออกมาโพสต์ข้อความในทำนองสนับสนุนม็อบล้มเจ้า ก็เป็นที่สังเกตว่า อาจจะกลัวโดนข้อหาให้การสนับสนุนม็อบ ในรายการสนธิญาณ ชัด ครบ จบ จริง ว่า เจี๊ยบ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ต้องถือว่าประวัติไม่ธรรมดา ในแง่แนวความคิดผนึกแน่นกับทอน บุด ช่อ ประวัติในการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมาก็ถือว่าดุเดือดเลือดพล่านมาโดยตลอด อยู่ในฝั่งหัวรุนแรงชื่อ เจี๊ยบ นครปฐม เป็นที่รู้จักกันดี โดยเฉพาะของมวลชนแดงอิสระหรือแดงเวทีเหล็ก และที่สำคัญ เจี๊ยบ ก้าวไกล ก็สนิทกับ สุรชัย แซ่ด่าน คนที่จะเชื่อมโยงความคิดกับสุรชัยได้จะต้องมีความคิดที่ไปในระดับเดียวกัน ทุกคนรู้ว่า สุรชัยนั้น มีความคิดรุนแรง โดยเฉพาะต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ตอน กปปส. เคลื่อนไหว เจี๊ยบก็มีบทบาท ออกมาตั้งกลุ่มที่เรียกว่า สันติภาพนครปฐม และเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อให้ทหารถอนกำลังออกจากพื้นที่สาธารณะในกรุงเทพฯ ซึ่งตอนนั้นทหารได้ออกมาดูแลความปลอดภัย เพราะรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน และทหารต้องออกมาดูแลความปลอดภัย เนื่องจากมีกลุ่มชายชุดดำ ทั้งเอาระเบิด ปืน ออกมายิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. เป็นการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างที่จะใจร้าย ทำไม เจี๊ยบ นครปฐม ถึงกว้างขวางในนครปฐม ก็เพราะว่า เจี๊ยบ ได้ให้การสนับสนุนนักศึกษาที่เรียกว่า กลุ่มนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ รวมทั้งนักศึกษามหิดล ศาลายา นี่คือบทบาทที่ผ่านมา ดังนั้น การก้าวขึ้นมาเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะธนาธรจัดมาเอง
ประเด็นที่จะพูดถึง ก็มาจากการที่ เธอได้ออกมาอภิปรายในสภา เรื่องการแก้มาตรา 112 ว่า กังวล ที่นักศึกษาไม่เว้นแม้แต่นักสิทธิมนุษยชน เยาวชน ต่างถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ทั้งๆที่ไม่ได้มีการใช้กฎหมายมาตรานี้มาแล้วถึง 2 ปี แต่ภายใน 1 เดือน ถูกดำเนินคดีไป 40 คน การออกหมายเรียกดำเนินคดีในคดีร้ายแรงที่มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี โทษฐานเท่ากับเตรียมการก่อกบฎ โทษฐานเท่ากับการฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา สิ่งที่พยายามขยาย ก็บอกว่า ตำรวจทำมักง่าย บอพร่อง ไม่มีหลักฐาน ขาดความรัดกุม เร่งรีบในการออกหมาย ข้อกล่าวหาขาดน้ำหนัก เลื่อนลอยและขาดองค์ประกอบความผิดที่ชัดเจน ย้ำว่า การออกหมายดังกล่าว เป็นการปิดปากผู้ที่เคลื่อนไหวทางการเมืองในฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาล แต่แกนนำม็อบไม่ได้โจมตีรัฐบาล การเคลื่อนไหวทั้งหลายมุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์ เนื้อหา ข้อเรียกร้อง คำพูด หลักฐาน มันชัดเจน เจี๊ยบอาจจะมองไม่เห็นจึงสามารถอภิปรายในสภา สวนกับความจริงได้ แล้วก็บอกว่า ที่ทำแบบนี้ เหตุผลที่ปิดปากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เพราะนายกฯออกมาประกาศว่า จะใช้กฎหมายทุกมาตรา มันไม่มีกฎหมายที่ยกเว้นได้
พล.อ.ประยุทธ์ ได้เคยออกมาบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระเมตตา ไม่อยากจะให้ดำเนินคดี ย้ำว่า ความหมายของคำว่า ไม่อยากให้ดำเนินคดีคือ ให้คิดให้ละเอียดถี่ถ้วน แต่ไม่ดำเนินคดีใครไม่ได้หรอก แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ไม่สามารถที่จะอยู่เหนือกฎหมายได้ มาสั่งอะไรไม่ได้ กลไกระบบของกฎหมายมันดำเนินการไป ดังนั้น เจ้าหน้าที่รัฐ หรือใครก็ตามที่มีหน้าที่ต้องกระทำและไม่ทำ มันล้วนมีความผิดตามกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 คนที่ถูกดำเนินคดี มันก็มีเนื้อหาของกฎหมายที่ต้องถูกดำเนินคดี ไม่ใช่เป็นการกลั่นแกล้ง ไม่ใช่เป็นการปิดปาก หรือไม่มีหลักฐาน ดังน้ัน คำอภิปรายของเจี๊ยบ ก้าวไกลในสภา มันสวนทางกับการปฏิบัติ แปลว่า รู้อยู่แล้วว่า แกนนำหรือผู้ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวทั้งหมดผิดกฎหมาย หลักฐานคือ บทบาทของเจี๊ยบที่เข้าสนับสนุนม็อบ ปรากฎตัวทุกม็อบ แต่บอกว่ามาสังเกตการณ์ มีคลิปชัดเจนไปแอบยัดอะไรใส่มือเพนกวิน สงสัยว่าเป็นเงินไว้กินขนม หรือไว้ใช้จ่ายอะไรหรือเปล่า แต่จะยืนยันว่ามาสังเกตการณ์ ประเด็นคือ ทำไมถึงประกาศตัวว่ามาสังเกตการณ์ ก็เพราะรู้อยู่เต็มอกแล้วว่า ผิดกฎหมาย ถ้าผิดกฎหมายไม่ว่าในฐานะตัวการหรือผู้สนับสนุน ย่อมมีความผิด แตกต่างกันที่รับโทษไม่เท่ากัน
คนที่โดนคดี ก็คือ ทราย เจริญปุระ ส่วนเพนกวิน อานนท์และคนอื่นๆ ที่ขึ้นอภิปรายบนเวทีมันชัดอยู่แล้วว่ากระทำความผิดตามมาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี สิ่งที่ที่อภิปราย สิ่งที่ทำบนป้ายเวที มันเข้าข่ายผิดมาตรา 112 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกระบวนการทางกฎหมายเดินเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนแล้ว
มาดูว่า ทราย ทำไมถึงผิด ทรายออกมาโพสต์ว่า ฉันคงไม่กลับไปรักเธอ จะเป็นอดีตคนรักหรือสถาบัน ก็แล้วแต่ แต่ภาษาพยายามจะเน้นว่า ฉันคงไม่กลับไปรักเธอ กล้ามากเลยนะเธอ ก็ตาสว่างกันหมดแล้ว แค่นี้ก็ผิดแล้ว แน่นอนว่า กล้ามาก ตอนนี้รู้อยู่แล้วว่า เป็นประโยคพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ การกระทำนี้รู้โดยเจตนาว่ามีเจตนาล้อเลียนพระองค์ท่าน เข้าข่ายมาตรา 112 แต่ที่สำคัญทรายโพสต์ที่เป็นหลักฐานและทำให้ทราย จะต้องมีโอกาสติดคุกเป็นอย่างยิ่งคือ โพสต์ว่า “ขอแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับห้องน้ำและรถตู้ให้บริการประชาชนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดไปที่ราบ 11” และโพสต์ต่อไปอีกว่า “ทีมที่ห่วงที่สุดคือทีมการ์ด ตอนนี้ค่อยยังชั่วว่าจัดระบบเซฟตี้จัดของเติมของ สโตร์ของเสร็จเรียบร้อย น้องๆ มีบัญชีกลางไว้คอยซัพโดยตรงแล้ว เอ้อ ป้าจะได้ถอยมาส่งข้าวส่งน้ำ อุปโภคบริโภคเหมือนเดิม ไม่งั้นเกร็งไปหมด” แค่นี้ก็มีโอกาสติดคุกสูง
เพราะว่า กฎหมายไม่ได้ยกเว้นใคร กฎหมายเขียนว่า ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น ชัดว่า สิ่งที่ทรายโพสต์ว่า ซัพพอตอย่างนู้นอย่างนี้ นี่คือผู้ให้การสนับสนุน เพราะรู้อยู่แล้วว่า ม็อบกระความผิด เพราะตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม มีข้อเรียกร้อง 10 ข้อ การพูดพาดพิง โจมตีสถาบัน จากแกนนำม็อบ ที่ทำมาโดยตลอด ทรายก็รู้อยู่แก่ใจ ซึ่งทรายก็รู้สึกเช่นเดียวกับม็อบ จิตเจตนาของทรายคิดในเรื่องแบบนี้ เพราะฉะนั้น ปฏิเสธความผิดไม่ได้ การที่พยายามมาพูดและทำให้เจ้าหน้าที่รัฐดูว่ามีความผิด เพราะไปกลั่นแกล้ง หลักฐานไม่ชัด บอกเลยว่า หลักฐานชัดเสียยิ่งกว่าชัด ในฐานะผู้สนับสนุน จะอ้างไม่ได้ว่าไม่รู้กฎหมาย เพราะหลักของกฎหมายคือ ทุกคนต้องรู้กฎหมาย ไม่ใช่เฉพาะคนไทย คนทั่วโลกก็ต้องรู้ เพราะกฎหมายเป็นตัวยึดโยงสังคมที่ให้คนปฏิบัติตาม
ดังนั้น โอกาสสูง สำหรับทราย ไม่ได้สะใจ แต่อยากบอกให้รู้ การทำอะไร เมื่อกล้าทำต้องกล้ารับ สุดท้าย ก็ตั้งข้อสังเกตว่า เจี๊ยบ ก้าวไกล คิดแบบเดียวกับ ธนาธร ปิยบุตร ช่อ หรือเปล่า แฝงๆ แอบๆ เจี๊ยบก็อ้างได้เพราะว่าเป็น สส. ที่ไปสังเกตการณ์ ถามว่าทำไมไม่โดดไปเคลื่อนไหว เจี๊ยบช่วยตอบด้วย ทั้งๆที่ เมื่อปี 2558 ต่อต้าน คสช. ก็กระโดดไปร่วมกับรังสิมันต์ โรม ตั้งกลุ่มประชาธิปไตยใหม่และทำกิจกรรมต่อต้าน คสช. ปี2561 ก็ร่วมเคลื่อนไหว จัดทั้งชุมนุมย่อย ชุมนุมหลัก สนับสนุนทั้งด้านอาหารการกิน มีคำถามว่า เคยมีพฤติกรรมการร่วมสนับสนุนม็อบอย่างเปิดเผย หรือทำม็อบเปิดเผย ครั้งนี้ทำไมไม่สนับสนุน ทำไมไม่ทำแบบทราย ส่งน้ำส่งข้าว ทำไมเจี๊ยบไม่ทำ เพราะรู้อยู่แล้วว่า มีโอกาสที่จะมีความผิดในฐานะผู้สนับสนุน แบบนี้ผมพอที่จะตั้งข้อหาเตี๊ยบได้ไหม เพราะหลอกใช้เด็ก หรือหลอกใช้ทราย