สนธิญาณ ชำแหละ ส.ศิวรักษ์-ชาญวิทย์ ปั่นหัวเด็กพุ่งโจมตีสถาบัน!?!

0

สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย ชำแหละ ส.ศิวรักษ์-ชาญวิทย์ ชายแก่สองคนหลงอัตตา ปั่นหัวเด็กพุ่งเป้าโจมตีสถาบัน

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย ได้กล่าวถึงกรณีของ 2 ชายแก่ ส.ศิวรักษ์และชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่หลงอัตตา ปั่นหัวเด็ก โดยกล่าวว่า เรื่องของชายแก่ 2 คน คนหนึ่งคือ ส.ศิวรักษ์ หรือนายสุลักษณ์ อายุ 87 ปี อีกคนหนึ่งคือ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อายุ 79 ปี ส.ศิวรักษ์ ได้ชื่อว่าเป็น ปัญญาชนสยาม เพราะผลิตงานเขียนออกมามากมายถึง 200 กว่าเล่ม รวมทั้งเล่มล่าสุดที่ชื่อว่า 2475 อภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ยังไม่เสร็จ และชาญวิทย์ ออกมาเขียนคำนำให้ ซึ่งเป็นประเด็นที่จะพูดถึงในวันนี้

ส.ศิวรักษ์ ได้รับรางวัลมากมายในชีวิต ทั้งากต่างประเทศและในประเทศ จะด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ก็ตามแต่ทำให้เกิดอัตตาสูงมาก มีแต่ความคิดตัวเองเท่านั้นที่ถูกต้อง ในสมัยที่มีอายุไม่มาก ก็มีงานเขียนถึงพระพุทธเจ้าและศาสนาพุทธหลายเล่ม ส.ศิวรักษ์ ได้รับการยอมรับที่ดูเหมือนว่าเป็นคนไม่มีอัตตา เพราะจากเคยโจมตีอ.ปรีดี พนมยงค์ มาเป็นปกป้องอย่างสุดชีวิต รวมทั้งคณะราษฎรโดยไม่ได้มองภาพรวมของความเป็นคณะราษฎรเลยว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 2475 มาอยู่ในมือของทหาร โดยเฉพาะ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็มาจัดการกับทหารที่เป็นคณะราษฎรร่วมกัน จะเห็นได้ว่า อ.ปรีดี มีความสามารถ มีความรู้ มีจิตเจตนาที่ดีต่อประเทศชาติ หรือเพราะต้องการใช้เป็นเครื่องมือ เมื่ออ.ปรีดี ขึ้นมามีอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่โค่นล้มอ.ปรีดี ก็คือ จอมพล ป. และไม่ใช่โค่นล้มเฉยๆแต่หมายเอาชีวิต โดยเฉพาะกบฎวังหลวง ในปี 2492

ดังนั้น การที่ ส.ศิวรักษ์ ยกย่องคณะราษฎร ซึ่งเมื่อไปเจาะจงดูรายละเอียดดูเหมือนจะมีแค่อ.ปรีดี ที่มีจิตใจและอุดมการณ์เพื่อสังคม คณะราษฎรส่วนใหญ่ล้วนบ้าอำนาจและคิดถึงแต่ผลประโยชน์ จนต่อมาเวลาพูดถึงเรื่องสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ได้มีการแฉว่าใครเอาผลประโยชน์ของสถาบันพระมหากษัตริย์มาทำมาหากิน จนร่ำรวยถึงปัจจุบัน นั่นก็คือคนในคณะราษฎร แต่ส.ศิวรักษ์ ไม่เคยเอามาพูดถึง ไม่เคยพูดหรือศึกษาอย่างจริงจังว่าผลพวงการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ทำให้สังคมไทยเป็นอย่างทุกวันนี้ อ.ปรีดีเองได้เคยยอมรับและให้สัมภาษณ์กับเอเชียวีค เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2523 ว่า

“ในปี ค.ศ. ๑๙๒๕ เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกน ของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้วและได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี ข้าพเจ้าไม่มีความจัดเจน และโดยปราศจากความจัดเจน บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา ข้าพเจ้าไม่ได้นำความเป็นจริง ในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์ มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี ในปี ค.ศ. 1932 ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ”

บทสัมภาษณ์ของอ.ปรีดี มันสะท้อนบทเรียนของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ได้ดีว่าขาดรากฐาน เพราะอ.ปรีดีคือนักคิด นักทฤษฎีคนสำคัญ และสิ่งที่เราได้เห็นการประพฤติปฏิบัติในชีวิตของอ.ปรีดี ก็คือการอุทิศตัวเองให้กับประเทศชาติ ไม่ใช่อำนาจแต่คณะราษฎรทั้งหลายขึ้นมามีอำนาจ ล้วนแต่ต้องการประโยชน์ให้ตัวเองเท่านั้น ขนาดอ.ปรีดียืนยันแบบนี้ วันนี้ ส.ศิวรักษ์ ก็ย้ำเรื่องคณะราษฎรและยิ่งปัจจุบันผู้คนเปลี่ยนแปลง โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย เพราะเทคโนโลยีที่ปรับตัว คู่ความขัดแย้งในโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีแต่ ส.ศิวรักษ์ ก็ยังไม่เปลี่ยน เพราะไม่ยอมศึกษาความเปลี่ยนแปลง และยอมรับในการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

สำหรับชาญวิทย์ จบการศึกษาปริญญาเอกจาก USA กลับมาเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2516 เคยเป็นรองอธิการบดี มธ.เมื่อปี 2518-2519 สมัยอาจารย์ป๋วยเป็นอธิการบดี ชาญวิทย์อายุ 34 ปี ซึ่งถือว่าหนุ่มมากและมาเป็นรองอธิการฯฝ่ายกิจการนักศึกษาในปี 2529-2531 และเป็นอธิการฯ ในปี 2537-2538 มีผลงานเขียนมากมายไม่แพ้ ส.ศิวรักษ์

ล่าสุดทางด้าน ดร.นิว ได้ออกมาโพสต์ว่าเป็นคู่คิดกับปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักโทษหนีคดี ม.112 และคนที่เปิดเพจ รอยัลลิสต์ มาร์เกตเพลส มีรูปคู่แสดงความสนิทสนมอย่างที่เห็นกันในโลกออนไลน์ ชัดเจนว่าต่อต้านเจ้า ซึ่งขณะเดียวกันชาญวิทย์ก็ต่อต้านเจ้า แต่ทำอย่างชาญฉลาด สามารถที่จะอยู่ได้ นั่นเป้นเพราะความจัดเจน ความฉลาดในการเคลื่อนไหวทางการเมือง

เมื่อ ส.ศิวรักษ์ ได้เขียนหนังสือ 2475 อภิวัฒน์สยาม เปลี่ยนแปลงการปกครองที่ยังไม่เสร็จ ชาญวิทย์มาเขียนคำนำให้ น่าสนใจคือ สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของม็อบในขณะนี้ บางส่วนของคำนำ ชาญวิทย์บอกว่า ก็น่าเชื่อว่าความฝัน ความต้องการของสุลักษณ์ที่จะให้สังคมนี้ฝ่าข้ามวิกฤตและความรุนแรงไปด้วยดีและด้วยสันติประชาธรรมยังอยู่ไกลแสนไกล คำติงและคำเตือนของสุลักษณ์ก็คงเพียงทำให้เราบางคนตระหนักในปัญยหาที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ได้บ้างและผมก็เชื่ออย่างที่สุลักษณ์เชื่อว่า สถาบันใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันกษัตริย์ที่สุลักษณ์ให้ความสนใจและความสำคัญเป็นพิเศษที่คงทนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์นั่นแหละ สถาบันนั้นจะยั่งยืนอยู่ต่อไปตราบนานแสนนาน ตราบเท่าที่ได้สำนึกถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปให้มีความเป็นสมัยใหม่สากล เช่น สหราชอาณาจักรกับยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่น ให้เป็นไปตามคำเรียกร้องของเยาวชน คนหนุ่มสาวก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้และเผชิญหน้ากับการปฏิวัติรุนแรง ดั่งเช่น จีน รัสเซีย เยอรมัน ออตโตมัน ออสเตรีย ฮังการี และยุโรปตะวันออก และนี่คือปัญหาที่คนไทยเรากำลังเผชิญหน้ากับทศวรรษใหม่และรัชสมัยใหม่ในปัจจุบัน ชัดเจนว่า เจตนาของชาญวิทย์พุ่งตรงไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์

ชาญวิทย์เคยโพสต์เฟซบุ๊ก และออกมาเขียนในครั้งนี้ด้วยว่า อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ก็ได้เห็นกันแล้ว และอะไรที่เคยเห็นๆกันมาชั่วชีวิต ก็อจจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป นี่ชัดเจนว่าทัศนคติของชาญวิทย์และส.ศิวรักษ์ คนแก่สองคน ที่ต้องพูดถึงพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เพราะแก่วัดแก่วา แต่พอศึกษามาบ้าง ส.ศิวรักษ์ ที่บอกว่าตัวเองเป็นปัญญาชนสยาม เขียนเรื่องพระพุทธศาสนามาเยอะ จะบอกว่า พระพุทธเจ้าได้เทศน์สอนเอาไว้ว่า เมื่อใกล้จะสิ้นใจตายนั้น จิตผู้ใดผ่องใส เบิกบาน ก็จะมีสุขคติเป็นที่ตั้งก็คือ ไปเกิดในสวรรค์หรือในโลกมนุษย์ จิตใด ผู้ใด เศร้าหมองก็จะมีทุกคติเป็นตั้ง นั่นคือไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย และสัตว์นรก เป็นห่วงชายแก่สองคนนี้จริงๆ ความหมกหมุ่น ความยึดมั่น และก็เกี้ยวกราดต่อสภาพกาลทางสังคมที่เป็นอยู่ ขาดความเมตตาขณะที่ตัวเองกำลังพูดถึงความเปลี่ยนแปลงต่อผู้คนโดยรอบ มองเห็นแต่เรื่องตรงหน้า มีคนยกย่องเชิดชู เพราะคิดว่ามีสิ่งที่ถูกต้อง