สถาบันทิศทางไทย ชี้ชัด วิธีก้าวผ่านฝันร้ายของนายกฯ เมื่อม็อบ มีเงื่อนไข​ 3​ ประการ

0

เปิดประเด็นเดือด!! สถาบันทิศทางไทย ชี้ชัด วิธีก้าวผ่านฝันร้ายของนายกฯ เมื่อม็อบ มีเงื่อนไข​ 3​ ประการ ของขบวนการปฏิวัติสมบูรณ์แล้ว!!

สู่จุดแตกหักกับการก้าวข้ามฝันร้ายปี 2553 ไปด้วยกัน / สุวินัย ภรณวลัย และเวทิน ชาติกุล /////
ผมคิดว่าตอนนี้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์กำลังเดินหมากที่ “ใจเย็นผิดมนุษย์ปุถุชนยิ่ง” และมีความอดทนอดกลั้นสูงยิ่งกว่ารัฐบาลในประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายเป็นอย่างมาก

ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะพลเอกประยุทธ์ผู้เป็นนายกฯเป็นผู้มีประสบการณ์โดยตรงในเหตุการณ์การชุมนุมนปช.ปี 2553 เมื่อสิบปีที่แล้วนั่นเอง
เหตุการณ์มวลชนนปช.เผาเมืองปี 2553 ถือเป็น ฝันร้ายของคนกรุงเทพฯในตอนนั้นก็ว่าได้ แต่เพราะมันเกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว มันจึงกลายเป็นความทรงจำอันเลือนลางของคนรุ่นใหม่ในตอนนี้

แต่พลเอกประยุทธ์ยังไม่อาจลืมเลือนได้อย่างแน่นอน จึงมีอาการของ PTSD หรือ Post-Traumatc Stress Disorder ที่ผวาม็อบปลดแอกอย่างเห็นได้ชัดเจน ปี​ 2553​ เด็กที่มาชุมนุมในม็อบตอนนี้​คงจะมีอายุประมาณ​ 10-15​ ปี​โดยประมาณ ก่อนหน้านั้น​ 1​ ปี​ในปี 2552 มวลชน​ นปช.เอารถแก๊สมาขวางถนน​ แต่​ พล.อ.ร่มเกล้า​ นำทหารเข้าสลายการชุมนุมที่แยกดินแดงโดยไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต​ เหตุผลเพราะ​ผู้ชุมนุมไม่มี​ กองกำลังติดอาวุธ​

แต่​ห่างกันปีเดียว​ การชุมนุมนปช.ปี​ 2553​ กลายเป็นหนังคนละม้วนกับปี​ 2552 การสลายการชุมนุมยิ่งไม่ต้องพูดถึง​ ยืดเยื้อ​ กินเวลาแรมเดือน​ และมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก​ รวมถึง​ พล.อ.ร่มเกล้า​ เพียงเพราะ​ #ปรากฏกองกำลังติดอาวุธมาผสมโรงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม

“แก้ว​ 3​ ประการ” ที่​ อริสมันต์พูดไม่ใช่เรื่องตลก​ แต่เป็น ความเป็นจริง​ของเงื่อนไขความพร้อมของขบวนการปฏิวัติ​ ซึ่งก็คือ มวลชน​ พรรค​ และ​ กองกำลัง
ม็อบปลดแอก​นี้ก็มี​ มวลชน​ มี​ “พรรค” (ที่แอบซ่อนอยู่ข้างหลัง)​ แต่ตราบใดที่ไร้ซึ่ง​กองกำลัง​ ก็ไม่ใช่​ ขบวนการปฏิวัติ​ เป็นได้แค่​ แก๊งค์สร้างอีเว้นต์ป่วนเมืองไปวันๆเท่านั้น
จนถึงบัดนี้ ผมก็ยังคงมองว่าม็อบปลดแอกนี้ #ยังขาดเงื่อนไขความพร้อมของขบวนการปฏิวัติเพื่อล้มล้างการปกครองอยู่ดี อย่างเทียบไม่ได้กับม็อบนปช.ปี 2553 ในทุกๆด้านไม่ว่าความฮึกเหิมของมวลชน พลังสนับสนุนอย่างทุ่มสุดตัวของพรรค และพลังสังหารกองกำลังติดอาวุธ

อย่างไรก็ดีการ​ปะทะกันที่เกียกกาย​เมื่อวาน เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า​ ม็อบปลดแอก​ มี​ “กองกำลัง” แม้อาจไม่ใช่​ “ชายชุดดำ” แบบปี​ 2553​ แต่มี​ “การ์ดอาชีวะ” ที่ถูกฝึกมาทางยุทธวิธี​ มีขั้นตอนการปฏิบัติการ​ และที่สำคัญคือ​ “มีอาวุธ” แม้จะยังไม่ใช่อาวุธสงครามก็ตาม
อย่าเพิ่งถามว่า​ “กองกำลัง” ที่นำโดย​ โตโต้-ปิยรัฐ​ นั้นมีที่มาจากไหน? เพราะเรื่องมันยาว​ เอาเป็นว่า​ตอนนี้​ ม็อบปลดแอก​ มีเงื่อนไข​ 3​ ประการของขบวนการปฏิวัติสมบูรณ์แล้ว​ แม้จะอยู่ในระดับที่หน่อมแน้มมากเมื่อเทียบกับกรณีของม็อบนปช.ปี 2553 ก็ตาม

สิ่งที่สังคมไทยพึงสังเกตต่อไปอีกก็คือ​
1)​ ในปี​ 2553​ แม้จะมีการจาบจ้วงสถาบันฯ​ แต่​ สถาบันฯไม่ใช่คู่ความขัดแย้งกับม็อบโดยตรง​ ผิดกับในปัจจุบันที่ม็อบชัดเจนมากว่าต้องการให้สถาบันฯเป็นคู่ขัดแย้งกับตน​ ด้วยทุกวิถีทางที่จะทำได้​ ทั้งออฟไลน์​ ออนไลน์

2) คนที่นั่งอยู่ใน​ ศอฉ.ในปี​ 2553​ ตอนนี้ได้ดิบได้ดี​กลายเป็น​ นายกฯ​ เป็น​รองนายกฯ​ เป็นรัฐมนตรี​ คำถามก็คือ​ ทำไมการจัดการกับม็อบเด็กเมื่อวานซืนถึงได้ผลออกมาชนิดที่ตรงกันข้ามกับการจัดการม็อบรากหญ้าของ​ นปช.​ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ พยัคฆ์​ ที่เคยสลายการชุมนุมปี​ 2553​ อย่างราบคาบ​ กลายสภาพเป็น​ ลูกแมว​ ในกำมือของเด็ก (คำตอบของผมก็คือนายกฯน่าจะมีอาการ PTSD จากเหตุการณ์เผาเมืองปี 2553 ทำให้ผวาม็อบปลดแอก)

ม็อบ​ iLaw​ พรรคก้าวไกล​ คณะก้าวหน้า​ ทำงานรับลูกส่งลูกกันเป็น​ teamwork แม้ดูมุ้งมิ้ง​ แต่สามารถ​ ยกระดับ​การโจมตีสถาบันฯจาก​ ต้องหลบๆซ่อนๆ​ เชิงสัญลักษณ์​ คาบลูกคาบดอก​ มาเป็นการโจมตีต่อสาธารณะ​ โดยตรง​ และเสนอเป็นร่างกฎหมายที่จะล้างและล้มสถาบัน​ฯในรัฐสภา​ ได้ในเวลาไม่ถึง​ 10​ เดือน​ (จะว่าจริงๆ​ ก็​ 4​ เดือนเท่านั้น)​ …ตรงนี้แหละที่ผมมองว่า #ม็อบปลดแอกนี้มีพลังทำลายทางการเมืองรุนแรงกว่าม็อบนปช.ปี2553 มาก

ขณะที่​ในรัฐบาล​ ยังมีรัฐมนตรีบางคนยังคิดว่าจะเจรจากับเด็กได้​ แต่เด็กไม่ได้ให้ราคาอะไรเลยสักสลึง​ รัฐบาลเยอรมันยังปกป้องพระมหากษัตริย์ไทยมากกว่ารัฐบาลของพระองค์เองเสียอีก

ขณะที่​ กองทัพ​ ก็ต้องเคลื่อนไหวแบบจำกัดจำเขี่ยเพราะ​ไม่รู้ว่านายกฯที่เป็นทหารฯจะเอาไงกับม็อบเด็กเมื่อวานซืน
ขณะที่​ นักการเมือง​ ฝ่ายรัฐบาล​ ยังเห็นแก่ประโยชน์ของพรรค​ ยังคิดเรื่องอยากแก้รธน.​ให้ตัวเองได้ประโยชน์​ มากกว่าที่จะเล็งเห็นการล้มล้างสถาบันฯที่แฝงอยู่ในเงื่อนไขการแก้กฏหมายหลักของชาติ
ส่วนข้าราชการ​ ไม่ต้องพูดถึง​ เข้าเกียร์ว่าง​ เงียบ​ยิ่ง​กว่าอมสาก​ ปล่อยให้เด็กใส่ร้ายในหลวง​ เรื่อง​ภาษี​ เรื่องงบประมาณ​ ฯลฯ​
มีเพียงสถาบันฯเอง​ และประชาชนที่จงรักภักดีด้วยหัวใจจริงเท่านั้นที่ขยับ​ออกมาแสดงให้เห็นพลังของความเป็นเอกภาพระหว่าง​ “เจ้า” กับ​ “ประชาชน”

พร้อมๆกับที่​มวลชนฝ่ายปกป้องสถาบัน​ ต้องแบกรับ​กับ​ความเลวร้ายที่ม็อบเด็กเมื่อวานซืนได้แสดงออก​ รวมถึงต้องยอมทนกับท่าทีของรัฐบาลที่เกรงใจคนคิดล้มล้างมากกว่าจะเห็นใจความรู้สึกของคนที่ปกป้อง
ในเงื่อนไขปัจจัย​ที่ถูกสั่งสมบ่มเพาะไปเรื่อยๆเช่นนี้​ #การเผชิญหน้าจะเกิดขึ้นและเป็นไปเองตามธรรมชาติ​ และ​จะยกระดับสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ​

จากด่าทอกันเองในโซเซียลมีเดีย​ ยกระดับไปเป็น
ชักชวนกันไปด่าอีกฝ่าย​ (ทัวร์ลง)​ ในโซเซียลมีเดีย​ ยกระดับไปเป็น
ออกมาด่า​ ขับไล่​ อีกฝ่าย​ ในชีวิตจริง​ (เหมือนที่ทั้งธนาธรและประยุทธ์​ก็ต่างโดน)​ ยกระดับไปเป็น
#ความรุนแรงที่เกิดจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย​ ดังที่เกิดขึ้นแล้วเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ที่เกียกกาย
ซึ่ง​จะโทษ​ มวลชน​ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง​ หรือทั้งสองฝ่ายก็ไม่ถูกเสียทีเดียว
ต้องโทษรัฐบาล​ที่​ “เกรงใจเด็ก” และ​ “อะลุ่มอะล่วย” กับม็อบโดยไม่ฟังเสียงเตือนว่าม็อบนี้มีเบื้องหลังและไม่ใช่พลังบริสุทธิ์

จึงบังคับใช้กฏหมาย​แบบผ่อนๆไม่เด็ดขาดแบบที่จีนทำที่ฮ่องกง​
หลังจากนี้​ สิ่งที่น่ากลัวก็คือ​ #เมื่อหลั่งเลือดแล้วมวลชนจะจัดการกันเอง​โดยไม่สนรัฐ​บาล​ ยกระดับไปสู่
สถานการณ์​ แตกหัก​ จราจล​ อนาธิปัตย์​ นองเลือด​ โยนบาป​ให้รัฐบาล
โดยต้องการทำให้​ รัฐจะควบคุมอะไรไม่ได้และเสี่ยงที่จะกลายเป็น​รัฐล้มเหลวในที่สุด
นี่คือแผน​ หรือ​ ยุทธการที่ถูกออกแบบเอาไว้แล้ว​ อย่างแยบยล​ โดยคนที่ดูเหมือนว่าจะ​ “อ่าน” profiling ของรัฐบาลไทยขาด …โดยเฉพาะอย่างยิ่ง #อ่านจิตใจของพลเอกประยุทธ์ขาดว่ายังมีอาการPTSD หลังปราบม็อบนปช.ปี 2553 ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ดี มันยังมีโมเมนตัมที่ผลักดันสถานการณ์ให้ไปสู่จุดแตกหักข้างหน้าที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ มันจึงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
โดยส่วนตัวผมยังมั่นใจและเชื่อใจพลเอกประยุทธ์ว่าจะคุมสถานการณ์ได้ในตอนจบให้สูญเสียน้อยที่สุดได้… เพราะในด้านหนึ่งมันคือ การก้าวข้ามฝันร้ายปี 2553 ของตัวพลเอกประยุทธ์เองเช่นกัน
คนไทยทั้งประเทศต้องร่วมมือร่วมใจกับพลเอกประยุทธ์ ก้าวข้ามฝันร้ายปี 2563 นี้ไปด้วยกัน

ด้วยจิตคารวะ
สถาบันทิศทางไทย