เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ดร.เวทิน ชาติกุล ได้พูดในรายการ TALKTOWAY ของสถาบันทิศทางไทย ถึงกรณีที่มีบุคคลหนึ่งได้สร้างกระแส ปลุกระดม ทำ Fakenews ป่วน
จากกรณีที่ได้มีการนัดรวมพลผู้ชุมนุมผ่านโซเชียลมีเดีย ถึงสถานที่การชุมนุมและเวลา ซึ่งบางครั้งการมีการทำ Fakenews ป่วน เพื่อมห้ตำรวจเตรียมการรับมือ แต่ก็ไม่ได้มีการจัดชุมนุมในสถานที่นั้นแต่อย่างใด ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรอเก้อมาหลายครั้ง โดยดร.เวทิน ได้กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่ที่ได้มีการปะทะกันระหว่างม็อบปลดแอกกับกลุ่มคนรักสถาบัน เนื่องจากคนรักสถาบันไม่ยินยอมให้กลุ่มม็อบปลดแอกเข้าใช้สถานที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นที่จาบจ้วงสถาบัน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า ไอโม่งที่อยู่แถวหลังสุด เป็นต่างชาติที่หวังจะใช้ไทยเป็นพื้นที่ก่อสงคราม สร้างความปั่นป่วนให้กับประเทศไทย เพราะชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลไทย หลายครั้งหลายหนทอดไมตรีผูกมิตรกับรัฐบาลจีน ซึ่งทางรับบาลไทยก็ไม่ได้ทอดทิ้งความสัมพันธ์ของอเมริกา แต่ในระยะยาว เชื่อว่าอาจจะต้องไปถึงจุดๆหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลไทยก็ต้องถามรัฐบาลอเมริกาว่า การที่มีเหตุหรือข้อมูลที่เชื่อมโยงและมีหลักฐานพอที่จะแสดงได้ว่า อเมริกาอยู่เบื้องหลังการชุมนุมในประเทศไทย แบบเดียวกับที่หนุนหลังม็อบฮ่องกง รัฐบาลอเมริกาต้องการอะไร ซึ่งเป็นการบีบให้รัฐบาลไทยต้องเลือกข้างหรือไม่ หรือรัฐบาลอเมริกามีความคิดเห็นอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งม็อบนั้นถูกใช้หยิยยกขึ้นมาเป็นเงื่อนไขต่อรองของม็อบปลดแอก
แต่เรื่องที่จะพูดนี้ มันมีหลักฐานที่ค่อนข้างชัด โดในวันที่มีการเข้าไปสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็ได้มีขบวนการการสร้างข่าว ปั่นกระแสว่าใช้ความรุนแรง จนในที่สุดก้ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งได้มีการแชร์ภาพนักศึกษากำลังถูกจับโดยเอามือไขว้หลัง โดยทางด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้แชร์ภาพนี้ออกมา พร้อมกับข้อความ ระบุว่า จับนักศึกษาแบบนี้มันใช่หรอ ? ไม่ละอายใจกันบ้างหรอ ? พวกเขาแค่มาทวงถามอนาคต ซึ่งทางด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็มีการเปิดภาพนี้ให้ผู้สื่อข่าวดู ขณะที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งไม่รู้ว่าไม่สังเกตการณ์หรือไปสนับสนุนม็อบ และยังมีอีก 2 คนซึ่งไม่ได้อยู่ในประเทศไทย นั่นก็คือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ซึ่งบอกว่า ไม่มีคำพูด ทั้งหมดเพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า มีการดำเนินการอย่างรุนแรงกับนักศึกษาที่ไปชุมนุม แต่คนพวกนี้โดนแกงเป็นแถว เพราะรูปที่ได้แชร์ออกไปนั้น ไม่ใช่ภาพนักศึกษาไทย แต่เป็นภาพที่จับกุมนักศึกษาในม็อบฮ่องกง เป็นเหตุให้นาย พิชัย ถูกกลุ่มไทยภักดีเข้าไปแจ้งความร้องเอาผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ ในข้อหาแชร์ข่าวปลอม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มีขบวนการปั่นกระแส สร้างข่าวปลอม โดยการเอา Fakenews มาปั่นกระแสว่ามีการใช้กระสุนยาง กระสุนจริง หรือแม้กระทั่งรถถัง นี่คือขบวนการปั่นกระแสที่เกิดขึ้น
ทางด้านรัฐบาลก็ยังด้อยฝีมือที่จะรับมือ ทั้งนี้ ดร.เวทินยังได้พูดต่อไปว่า ต้นตอของภาพ ซึ่งคนที่โพสต์ภาพดังกล่าว เป็นคนจีน โดยใช้ชื่อ Facebook ว่า Kong Tsung-gan ซึ่งคนนี้เป็นนักเขียนชื่อดัง เขียนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของ โจชัว หว่อง แต่คนนี้ได้ถูกสื่อจีนจับได้ว่าที่แท้จริงแล้ว เขาไม่ใช่คนจีน แต่เป็นฝรั่ง ปลอมตัวมาเป็นคนจีนเพื่อมาปั่นกระแสทั้งจริงและไม่จริง ดร.เวทินได้ย้อนถามว่า คิดว่า ในประเทศไทยจะมีแบบนี้หรือไม่ เพราะขนาดมาตรการจีนยังจับได้เพราะเขามีระบบกลไก ในการจับกุม ตรวจสอบในระบบ AI ของคอมพิวเตอร์ของจีน ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าไทย ขณะที่ประเทศไทย ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค อินสตราแกรม ปล่อยให้มีเฟสบุ๊คอวตารเยอะแยะมากมาย นี่แหละคือปัญหา แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า คนที่โพสต์มานั้น จริงๆแล้ว อาจจะเป็นต่างชาติ ถือว่าอันตรายมาก แต่ที่น่าสนใจก็คือ ฝรั่งที่ปลอมตัวเป็นคนจีน แท้จริงแล้ว เป็นอดีตแอมเนสตี้ ซึ่งแอมเนสตี้ เป็นองค์กรเครือข่ายของ NED โดยมีเครือข่ายอยู่ในฮ่องกงและไทย ซึ่งคนที่เป็นบอร์ดแอมเนสตี้ก็คือ นายฟอร์ด ทัตเทพ เป็นเพื่อนของนายเนติวิทย์ ซึ่งนายเนติวิทย์เป็นเพื่อนกับนายโจชัว หว่อง ซึ่งเป็นแกนนำม็อบฮ่องกง และนายฟอร์ด ทัตเทพ ก็เป็นแกนนำของเยาวชนปลดแอก สุดท้ายแล้ว แอมเนสตี้ก็นั่งอยู่เบื้องหลังม็อบ
ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้มีการแชร์ภาพของนายเพนกวินได้นั่งกินชีสเค้กกับอดีตทูตสหรัฐอเมริกา บอกว่าอเมริกาสนับสนุนม็อบในไทย ทำให้ทูตสหรัฐอเมริกาคนล่าสุด ต้องรีบเข้าไปพบโฆษกรัฐบาล และได้แถลงข่าวออกมาว่า สหรัฐอเมริกาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับการชุมนุมในไทย แต่เมื่อย้อนไปดูประวัติของทูตสหรัฐอเมริกา ปรากฎว่าได้อาศัยอยู่ในฮ่องกงมา 15 ปี เป็นนักธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในการเจรจาเรื่องการควบรวมกิจการในจีนในฮ่องกงในไต้หวันและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสถานการณ์ในฮ่องกง ทางอเมริการู้ว่าพ่ายแพ้ ก็ประจวบเหมาะกับทูคสหรัฐอเมริการคนล่าสุดเข้ามารับหน้าที่เป็นทูตในไทย แล้วอยู่ๆเหตุการณ์ในประเทศไทยก็ลุกฮือขึ้นมา เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ฮ่องกง
สุดท้าย แอมเนสตี้ก็ปรากฎตัวออกมา เมื่อทางรัฐบาลสั่งให้ปิด วอยซ์ทีวี และศาลอาญามีคำสั่งให้ยกคำร้อง ซึ่งทางแอมนาสตีได้โจมตีรัฐบาลไทย ซึ่งดำเนินการสั่งปิด วอยซ์ทีวี สำหรับคนที่ปั่นกระแส สร้างข่าวปลอมขึ้น แล้วนำข่าวปลอมมาขยายผลสร้างกระแสเพื่อสนับสนุนม็อบ สุดท้ายแล้ว นี่คือหลักฐานที่ค่อนข้างเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มคนที่เคลื่อนไหว โดยอเมริกาอาจจะไม่ได้ส่งเงินมาสนับสนุน เหมือนที่ทรายและนายปกรณ์ทำ แต่พวกนี้สนับสนุนการเคลื่อนไหว ซึ่งไม่รู้ว่ามีอีกมากน้อยแค่ไหน และนี่คืออันตรายที่เกิดขึ้น