อัษฎางค์ ยมนาค ชี้ ทำไมประเทศไทย ถึงเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร หลังจากที่เคยมีการยุยงจากกลุ่มประชาชนปลดแอก ให้บัณฑิตไม่รับปริญญาบัตร
จากกรณีสถานการณ์การเมืองเป็นกำลังเป็นที่จับตามอง ในการจัดชุมนุมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึงนี้ ของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งทางธรรมศาสตร์ ไม่อนุญาตให้จัดการชุมนุม เราก็ต้องคอยดูท่าทีของกลุ่มประชาชนปลดแอกว่าจะจัดการชุมนุมใหญ่ในวันดังกล่าวหรือไม่ ที่ผ่านมาทางกลุ่มประชาชนปลดแอก ได้ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ โดยมุ่งเน้นประเด็นไปที่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งหากย้อนไปเมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา ก็มีการยุยงให้ไม่รับปริญญา เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยหรือล้มล้างประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยอ้างว่า เรียกร้องประชาธิปไตย แต่เวลาขึ้นเวทีปราศรัย มีแต่เรื่องโจมตีสถาบันฯ และยุยงให้บัณฑิตไม่ต้องรับปริญญา
ล่าสุด นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า
“ทำไมประเทศไทย ที่อาจจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร”
จากบทความที่ได้รับการเผยแพร่มายาวนานว่าทำไม ร.9 ทรงพระราชทานปริญญาบัตร ด้วยพระองค์เอง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่ปี 2493 จนถึงปี 2540 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 49 ปี พระองค์ทรงเคยตรัสถึงเหตุผลที่มีพระราชประสงค์จะพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เองกับราชเลขาธิการว่า
พระองค์ต้องการจะใกล้ชิดกับบัณฑิตใหม่แต่ละคน ในวินาทีที่รับพระราชทานปริญญาบัตรนั้น มือของบัณฑิตข้างหนึ่ง และพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ข้างหนึ่งจับอยู่บนกระดาษแผ่นเดียวกัน
ถ้าสองมือทำงานไม่พร้อมกันกระดาษก็จะหล่นร่วงลง บัณฑิตที่มีโชคดีได้จับกระดาษแผ่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 กระดาษแผ่นนั้น ก็จะมีความหมายมากกว่าไม่ใช่เพียงแค่กระดาษที่ใช้รับรองวุฒิการศึกษาเพียงเท่านั้น
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ มีพระราชประสงค์ที่จะทรงสอนบัณฑิต ที่อาจจะไม่ได้กลับมาเรียนหนังสืออะไรเพิ่มเติมจากมหาวิทยาลัยอีกแล้ว ว่าบางครั้งคนเราก็ต้องทำอะไรที่ไม่ใช่ความสุขของตนเองเป็นความเหนื่อยยาก
อย่างเช่นที่พระองค์ทรงมาพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เอง แต่เพื่อประโยชน์ของคนอื่น สิ่งนี้ทรงสอนด้วยการกระทำให้เป็นแบบอย่างในเรื่องของการเสียสละเพื่อส่วนรวม และทรงหวังว่าบัณฑิตจะได้นำไปเป็นแบบอย่างและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป
………………………………………………………………….
มีอีกสิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปอาจไม่เคยทราบว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ใช้เวลาทั้งหมด ตลอดช่วงเวลาที่พระราชทานปริญญาบัตร ทำ สมถะ วิปัสสนากรรมฐาน และบริกรรมคาถา ที่แปลว่า การสํารวมใจสวดมนต์ภาวนา, สํารวมใจร่ายมนตร์หรือเสกคาถาซํ้า ๆ หลายคาบหลายหนเพื่อให้เกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์
เพราะฉะนั้นผู้ใดที่เคยได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระองค์ท่าน ย่อมถือว่าได้ของมีค่าอันศักดิ์สิทธิ์ไว้ครอบครองจากพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรมดั่งพระโพธิสัตว์
ถ้าใครทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และรู้จักนำปริญญาบัตรพระราชทานนั้นมาบูชา ย่อมนำความเจริญมาสู่ตนและครอบครัว
………………………………………………………………….
และอาจด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ในฐานะผู้แทนพระองค์จึงมาร่วมพิธีพระราชทานปริญญาบัตรเสมอมา
รวมทั้งบัณฑิตสาวผู้ที่ป่วยหนักเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายรายนี้ที่อาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นสันพระราชทานปริญญา จึงมีพระราชกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนมามอบปริญญาบัตรถึงเตียงผู้ป่วยเป็นกรณีพิเศษ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรในประเทศไทย มีนัยยะอันงดงามละเมียดละไมแฝงอยู่ ถือเป็นประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน ที่คนรุ่นใหม่ที่มีจิตใจหยาบกระด้างอาจไม่เข้าใจ
คนที่แทบจะหมดโอกาสยังมีโอกาส
แต่คนที่มีโอกาส กลับไม่อยากรับโอกาสทอง อันเป็นสิริมงคลของชีวิต
น่าเสียดาย ๆ