ดร.เวทิน ซัดความจริง ไม่ยืน​เคารพเพลงสรรเสริญฯในโรงหนัง ผิดกฎหมายหรือไม่

0

ดร.เวทิน​ ชาติกุล ผอ.สถาบันทิศทางไทย เปิดความจริง ในประเด็นไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ในโรงภาพยนตร์ ผิดกฎหมายหรือไม่

จากกรณีที่มีพฤติกรรมส่งต่อเชิงสัญลักษณ์เป็นวงกว้าง ของกลุ่มเยาวชนที่คิดว่ากระทำดังกล่าว เท่ และทำให้สังคมเพื่อนๆยอมรับ นั่นคือการ ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ในโรงภาพยนตร์

ซึ่งในเรื่องดังกล่าวทำให้สังคมเสียงแตกเป็นอย่างมากว่า ไม่สามารถที่จะเอาผิดในเรื่องดังกล่าวได้เลยหรือ ? หรือว่าเอาผิดได้ แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไร

ล่าสุดทางด้านของ ดร.เวทิน​ ชาติกุล ผอ.สถาบันทิศทางไทย ได้เปิดเผยถึงประเด็นดังกล่าว ไว้ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบและเข้าใจอย่างง่ายๆ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

จริง​หรือ…ไม่ยืน​ “​ในโรงหนัง” ไม่ผิดกฎหมาย​ /เวทิน​ ชาติกุล​ สถาบันทิศทางไทย

/////

ข้ออ้างหนึ่งที่ฝ่ายท้าทายสถาบันฯ​ ยกมาอ้างในกรณีไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯในโรงหนังก็คือ​ ข้ออ้างของนาย​ ช.​ ผู้ที่เคยถูกฟ้อง​ ม.๑๑๒​ ในกรณีไม่ยืนในโรงหนัง

นาย​ ช.​ อ้างว่า​ “ทำไมต้องยืน​ ไม่มีกฎหมายบังคับ” แล้วรอด​ ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล

จึงกลายเป็นเหตุผลต่อๆมาว่า​ ไม่ยืน=ไม่ผิดกฎหมาย

ทั้งๆที่เรื่องนี้เป็นการพูดข้อเท็จจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น​

นั่นคือ​ พ.ร.บ.วัฒนธรรม​ ปี​ ๒๔๘๕​ ที่ออกโดยผู้นำคณะราษฎรบังคับให้ประชาชนต้องยืนในช่วงเพลงเคารพในโรงหนัง​ ใครไม่ยืนจะมีความผิดตามกฎหมาย​ (คณะราษฎร์ต้องการใช้สถาบันฯเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างระเบียบ​ “รัฐนิยม” ของตนขึ้น)​ พ.ร.บ.ฉบับนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว​

และมี​ พ.ร.บ.วัฒนธรรม​ปี​ ๒๕๕๓​ แทน​ โดยไม่มีเรื่องการบังคับให้ยืนหรือบทลงโทษถ้าไม่ยืน​ อันนี้จริง

แต่ความจริงอีกด้านหนึ่งก็คือ​ มีคดีตัวอย่าง​กรณีไม่ยืนแล้วถูกดำเนินคดีที่ชี้ขาดถึงชั้นศาล​ด้วยเช่นกัน​ ๒​ คดี​ และ​ ทั้ง​ ๒​ คดี​ศาลตัดสินว่าผู้ไม่ยืนมีความผิด​ มีโทษติดคุก​

คดีแรก​ในปี​ ๒๕๒๑​ จำเลย.อ​ ไม่ยืนเคารพในช่วงเพลงสรรเสริญ​ (แต่เหตุไม่ได้เกิดในโรงหนัง)​ และกล่าวคำพูดไม่เหมาะสม​ ถูกฟ้อง​ ดำเนินคดี​อาญา​ ม.๑๑๒​ ทั้ง​ ๓​ ศาลพิพากษายืนว่าจำเลยมีความผิดตาม​ ม.๑๑๒​ มีโทษจำคุก​ ๒​ ปีโดยศาลฎีกาให้เหตุผลว่า​

“…เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงที่ใช้บรรเลงในการพระราชพิธีหรือพิธีการต่างๆ เพื่อถวายพระเกียรติและถวายความเคารพแด่องค์พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะคดีนี้ประชาชนที่ไปฟังการอภิปรายย่อมเข้าใจว่า เพลงสรรเสริญพระบารมีที่เปิดขึ้นเป็นการถวายความเคารพแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน จึงได้ยืนตรงทุกคน

จำเลยเป็นนักเรียนครูวิทยาลัยครูสวนสุนันทา ย่อมต้องรู้และเข้าใจดีกว่าประชาชนธรรมดาสามัญ การที่จำเลยมิได้ยืนตรงเช่นประชาชนคนอื่นในขณะที่เพลงสรรเสริญพระบารมีเปิดขึ้น ทั้งยังบังอาจกล่าวถ้อยคำว่า “เฮ้ย เปิดเพลงอะไรโว้ย ฟังไม่รู้เรื่อง” เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนาที่จะดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ฯลฯ…”

คดีที่​ ๒​ ปี​ ๒๕๕๑​ จำเลย​ ร.​ ทำแบบคดีแรก​ แต่ครั้งนี้เหตุเกิดในโรงหนังเมเจอร์รัชโยธิน​ จำเลยไม่ยืนเคารพ​ และยังแสดงกริยาที่ไม่เหมาะสม​ และกล่าวคำหยาบคาย​ ถูกดำเนินคดีใน​ ม.​ ๑๑๒​ ศาลชั้นต้น​ตัดสินว่า​ จำเลยมีความผิด​ ติดคุก​ ๓​ ปี​​ จำเลยสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง​ แต่รอลงอาญา​ ๒​ ปี​ เพราะจำเลยมีประวัติมีอาการป่วยทางจิต​และเคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบ้ามาก่อน

จะเห็นว่า​ ทั้งสองคดี​ “ไม่ยืนเคารพ” ไม่ได้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย​วัฒนธรรม​ แต่เป็นคดีอาญา​ ม.๑๑๒​ เพราะทั้ง​ “ไม่ยืนเคารพ” + “แสดงกริยาหรือคำพูดดูหมิ่น” ซึ่งศาลมองว่า​ “มีเจตนาจะดูหมิ่นพระมหากษัตริย์” ชัดเจน

ส่วนคดีของ​ นาย​ ช.​ ที่ไม่ยืนแล้วบอกว่า​ “ไม่มีกฎหมายบังคับ” นั้น​ ข้อเท็จจริงคือ​ เรื่องไม่ถึงชั้นศาล​ เพราะอัยการไม่สั่งฟ้อง

เพราะ​ นาย​ ช.​ ไม่ยืน​ แต่​ ไม่ได้แสดงกริยาหรือคำพูดอื่น​ๆ​ที่เป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ออกมา​ อัยการจึงพิจารณาไม่สั่งฟ้อง​

ประเด็นก็คือ​ ยังพูดไม่ได้เต็มปากว่า​ ไม่ยืน​ = ไม่ผิด​กฎหมาย​ เพราะ

๑.​ อัยการ​ กับ​ ศาล​ วินิจฉัยต่างกัน​ อัยการวินิจฉัย​ (กรณี​ นาย.ช)​ ด้วยเหตุผล​ “จะต้องมีการกระทำแสดงให้เห็นด้วย” แต่​ ศาลพิพากษา​ (กรณี​จำเลย​ อ.)​ โดยดูที่​ “เจตนาที่จะดูหมิ่นพระมหากษัตริย์” เป็นสำคัญ

๒.​ กรณีแบบ​ นาย​ ช.​ คดียังไม่ถึงที่สุด​ เพราะเรื่องยังไม่ถึงชั้นศาล​ เลยยังไม่มีบทสรุปว่า​ ถ้าเรื่องถึงชั้นศาลแล้วจะได้ข้อยุติออกมาเป็นอย่างไร?

๓.​ สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ​ถ้าเรื่องถึงชั้นศาล “การไม่ยืนเคารพ” เฉยๆ แม้จะไม่แสดงการกระทำ(อาฆาตมาดร้าย)​ให้เห็น​ แต่เป็นการแสดง​ “เจตนาที่จะหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่?” เรื่องนี้ศาลอาจต้องวินิจฉัยและตีความ​ ซึ่งเราตอบไม่ได้เพราะเป็นดุลพินิจของศาล

อย่างไรก็ตาม​ ด้วย​ “พระเมตตา” ที่ไม่ประสงค์ให้ดำเนินคดีใน​ ม.๑๑๒​ จึงคงไม่สามารถฟ้องร้องหรือดำเนินคดีด้วย​ ม.​ ๑๑๒​ ได้​ ก็ต้องถือว่า​ใครที่ไม่ยืนเคารพในโรงหนังที่สามารถทำได้แล้วไม่ถูกดำเนินคดีไม่ใช่ความเก่งกาจของฝ่ายปลดแอก, ต่อต้านกษัตริย์​ อะไรหรอก

ที่ไม่ต้องถูกดำเนินคดี​ เสี่ยงคุกตะราง​ ก็ควรต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงที่ทรงรับสั่งประสงค์ให้ไม่เอาความต่างหาก