เมื่อสถานการณ์ผลักดัน“ไทยภักดี”ขึ้นแนวหน้า เพราะชัดเจนรักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์

0

จากที่วันนี้((๗ กันยายน ๒๕๖๓) รศ.ดร.แสงเทียน อยู่เถา ประธานยุทธศาสตร์วิจัยสถาบันทิศทางไทย ได้เขียนบทความถึงกลุ่มไทยภักดีและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้ไว้อย่างน่าสนใจและชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศตอนนี้ มีการผลักดันการชุมนุมออกมาอย่างต่อเนื่อง ในการต่อต้านรัฐบาล แต่เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์ทีเกิดขึ้น การผลักให้รัฐบาลเป็นชนวนเหตุของการชุมนุมต่อต้านเริ่มทำได้จากประเด็นนี้ลำบากขึ้นทุกที เพราะเหตุว่ารัฐบาลที่ไม่ได้มีความแข็งกร้าวต่อการต่อต้านการชุมนุมเรียกร้องที่มีหลากหลายประเด็นแตกต่างกันออกไปทุกครั้งที่มีการชุมนุม

จนเป็นเหตุให้หลายฝ่ายเริ่มมองเห็นเป็นไปในทำนองเดียวกันว่า ผู้ประสงค์จะชุมนุมในการเรียกร้องต่อต้านรัฐบาลต้องยอมให้บางคนที่เป็นกลุ่มทีมนำในการต่อต้านรัฐบาลจำเป็นต้องไม่ประกันตัวเพื่อให้ถูกดำเนินการจับเข้าคุกเข้าตะราง เพื่อผลักดันถึงแนวทางเดิมที่เคยเรียกร้องเพื่อจุดประเด็นอย่างต่อเนื่องว่า ให้“หยุดคุกคามผู้บริสุทธิ์”“หยุดคุกคามประชาชน”

เมื่อวิเคราะห์ทางวิชาการเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงของแนวคิดในการมองผู้ชุมนุมเปลี่ยนไปในวันที่มีการเรียกร้อง ๑๐ ข้อ จาก ประกาศกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฉบับที่ ๑ จากกรณีที่มีการชุมนุม “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” (BBC News, ๒๕๖๓) เพราะประชาชนทั่วไปเริ่มตระหนักถึงความชัดเจนของการเรียกร้องมากขึ้นถึงการจะมีการแก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

จากนั้นการชุมนุมในครั้งต่อๆ มาไม่ว่าจะเรียกร้องกี่ข้อ ประกอบด้วยเรื่องอะไรบ้าง ทั้งจาก นักศึกษา นักเรียน และประชาชน กลุ่มใด จึงมิอาจลบเลือนข้อเรียกร้อง ๑๐ ข้อ ที่เคยมีมาก่อนหน้านั้นไม่ได้อีกแล้วรวมถึงการเกิดขึ้นของพลังเงียบที่ออกมาต่อต้านดังปรากฎชัดในการลงชื่อร่วมในแถลงการณ์ต่างๆ เช่น แถลงการณ์กลุ่มประชาชนไทยผู้รักชาติศาสน์กษัตริย์ ที่เปิดเผยชื่อชัดเจน (เปลว สีเงิน, ๕ สิงหาคม ๒๕๖๓)   และการเกิดการรวมตัวทั้งแค่เพียงรวมตัว หรืออาจมีการประกาศเจตนารมณ์หรือแถลงการณ์ด้วยในสถานที่ต่างๆ

ความไม่ชัดเจนในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ของนักการเมืองในสายตาประชาชน เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นตามลำดับ การไม่ลุกขึ้นแย้งในรัฐสภา เมื่อมีการพาดพิงและกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นความไม่ชัดเจนที่ประจักษ์ชัดมากขึ้น ประชาชนหลายภาคส่วนเริ่มมองเห็นจุดแข็งในเรื่องนี้มีเพียง นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว

การเกิดขึ้นของ กลุ่ม “ไทยภักดี” ที่ออกมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ คณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล มาอย่างต่อเนื่อง การเปิดโปงลัทธิชังชาติของคนบางกลุ่ม การมีข้อมูลเพื่อแย้งกับการกล่าวปราศรัยและการให้ข้อมูลจากการชุมนุมเรียกร้องที่อ้างเรื่องประชาธิปไตย และการต่อต้านเผด็จการ การย้อนแย้งของการเรียกร้องเรื่องยุบสภากับการแก้รัฐธรรมนูญที่จะต้องเป็นไปตามที่กลุ่มต้องการ ฯลฯ

นี่คือความชัดเจนที่ประชาชนและพลังเงียบหลายภาคส่วนกำลังมองเห็นเป็นรูปธรรม ในขณะที่รัฐบาลกำลังแย่งชิงเก้าอี้และการสลัดเก้าอี้ทิ้งจนประชาชนเริ่มเห็นความไม่แข็งแกร่งของรัฐนาวา การทะเลาะกันเอง การขัดแย้งกันทางความคิดกันเองในเรื่องต่างๆ ของนักการเมืองฝายรัฐบาลด้วยกันเอง ทำให้มองเห็นถึงความไม่เข้มแข็งของรัฐบาลในการต่อกรกับกลุ่มเรียกร้องที่มุ่งให้มีการแก้ไขในทุกเรื่องเพื่อกระทบไปถึงการแก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

จึงส่งผลต่อการขึ้นสู่แนวหน้าของกลุ่ม “ไทยภักดี” ในเวลาอันรวดเร็ว และจะเป็นกำแพงหนาที่จะปกป้องโดยการรวมตัวของประชาชนที่เล็งเห็นศูนย์กลางของการคัดทานแนวทางการผลักดันกลยุทธ์เพื่อการแก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

กลุ่ม “ไทยภักดี” จึงเป็นที่รวมของนักวิชาการ อดีตข้าราชการ ผู้ที่มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รวมถึงประชาชน และพลังเงียบในทุกกลุ่มอายุที่คิดต่างแต่ไร้ที่หวังจากพลังทางการเมืองเพราะมองเห็นจุดแข็งเดียวในเรื่องนี้ของรัฐบาลคือตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

กลุ่ม “ไทยภักดี” จึงขึ้นมาเทียบชั้นคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ถ้ามีการปรับกลยุทธ์เพื่อลงเลือกตั้งในพรรคการเมือง จึงเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมาคนเลือกพรรคพลังประชารัฐ ส่วนหนึ่งมาจากความชัดเจนของนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ เมื่อประชาชนเห็นความชัดเจนของ “ไทยภักดี” ที่จะมาต่อกรกับกลุ่มชังชาติ กลุ่มที่มุ่งให้มีการแก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเพื่อลดทอนพระราชอำนาจ และมองเห็นว่านี่แหละคือทีมการเมืองที่จะมาต่อกรกับพรรคอย่าง “ก้าวไกล” อย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา ชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง

จึงน่าคิดว่า อนาคตของ “ไทยภักดี” ถ้าปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่สนามเลือกตั้ง ก็อาจผงาดขึ้นมาเหมือนที่ “อนาคตใหม่” เคยทำได้เมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมา