จากกรณีที่ทางด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยคำชี้แจงกรณี Amnesty International เรียกร้องรัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุม อันเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ตามที่ Amnesty International (AI) หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล สำนักงานใหญ่กรุงลอนดอน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนกว่า 8 ล้านคนทั่วโลก ส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องทางการไทย ยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ 31 คน
และขอให้ยุติการขัดขวางการร่วมชุมนุมของประชาชน ที่เป็นการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล รวมทั้งขอให้ยกเลิกกฎหมายที่มีเนื้อหากำกวม หรือคลุมเครือ เพื่อเป็นการเคารพ คุ้มครอง สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการรณรงค์นี้จะมีไปถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2563 นั้น
ล่าสุดนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้ากลุ่มไทยภักดี กล่าวถึงกรณีองค์กรนิรโทษกรรมสากล “แอมเนสตี้” ออกมาเรียกร้องสิทธิให้กลุ่มผู้ชุมนุมต่อรัฐบาลไทยว่า เป็นทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดเพราะหากย้อนไปดูจะพบว่ามีความสัมพันธ์กัน ทุกอย่างเป็นไปตามตำราการชักศึกเข้าบ้านด้วยการดึงเอาองค์กรเอ็นจีโอต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มนี้เพื่อกดดันรัฐบาล
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ที่มีกลุ่มติดอาวุธดักทำร้าย ใช้อาวุธสงครามยิงใส่กลุ่ม กปปส. จนมีผู้เสียชีวิต 24 ราย มีผู้บาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บรวมกว่า700 คน แต่องค์กรเหล่านี้กลับเงียบกริบไม่มีการออกมาแสดงท่าทีใด ๆ ไม่มีแม้แต่จะท้วงติงถึงการปกป้องสิทธิใด ๆ ของพี่น้องประชาชน หรือแม้กระทั่งเหตุการชุมนุมที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาในรัฐต่างๆ ที่คนผิวสีออกมาเรียกร้องสิทธิหลังตำรวจผิวขาวยิงปืนใส่คนผิวสีจนเสียชีวิตในหลายรัฐจนเกิดเป็นกระแสเรียกร้องสิทธิคนผิวสีไปทั่วโลกทุกวงการ ไม่เห็นองค์กรแอมเนสตี้ที่ว่านี้จะออกมาแสดงบทบาทเรียกร้องสิทธิ หรือท้วงติงใด ๆ ต่อทางการหรือรัฐบาลประเทศนั้น
“พฤติกรรมสมรู้ร่วมคิดในการชักศึกเข้าบ้านที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ ผมบอกได้เลยว่า คนไทยรับไม่ได้เพราะเป็นเรื่องภายในบ้านของเรา ไม่ใช่ดึงคนนอกบ้านเข้ามาแทรกแซงปัญหาในบ้าน และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมเลวร้ายเช่นรัฐบาลในอดีตที่ใช้กำลังกับผู้ชุมนุม
เชื่อว่า การนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 ก.ย.นี้เงื่อนไขต่าง ๆ ยังไม่สุกงอมพอที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง อย่างที่บอกว่ารัฐบาลพยายามดูแล ไม่ให้เกิดเหตุไม่พึงประสงค์ จึงเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ในสังคมคงรู้ว่าอะไรควร หรือไม่ควร และอย่าเปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาแทรกแซงเรื่องในบ้านของเรา”
ขอบคุณเฟซบุ๊ก : Warong Dechgitvigrom