จากที่ศาลสั่งเพิกถอนประกัน อานนท์ ส่วนไมค์ ภาณุพงศ์ จาดนอก ศาลเมตตาและห้ามกระทำผิดอีก แต่ไม่ได้ยื่นขอประกันตัว ทำให้ทั้งคู่ต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนจำนอนคุก
ทั้งนี้ศาลอาญารัชดาฯ ได้ทำการไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการประกันตัวชั่วคราว ของนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก ที่ห้องพิจารณา 714 เนื่องจากว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คน มีพฤติกรรมทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว หลังจากที่ไปขึ้นเวทีปราศรัยในเชิงปลุกระดมอีกครั้ง และเมื่อเวลา 16.00 น.ได้มีความเห็นว่า ไม่เพิกถอนการประกันตัว ไมค์ ระยอง หรือ นายภาณุพงศ์ จาดนอก แต่ให้เพิ่มเงินประกัน 100,000 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 200,000 บาท
ต่อมานายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าวว่า
ร่วมหยุดยั้ง “นิติสงคราม” ที่นำมาใช้กับการชุมนุม การถอนการปล่อยตัวชั่วคราวของ ทนายอานนท์ นำภา และไมค์ ภาณุพงศ์ จาดนอก ในวันนี้ คือการใช้กฎหมายโดยมิชอบเป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนนับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 จนถึงวันนี้ การนำ “กฎหมาย” มาใช้จัดการฝ่ายตรงข้าม หรือ ที่ผมเรียกว่า “นิติสงคราม” ยังไม่ที่ท่าว่าจะลดลง
พวกเขาทำอะไรบ้าง? คสช. ก่อรัฐประหาร ถือว่ามีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร มีโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 แต่พวกเขากลับใช้กำลังอาวุธ กำลังทางกายภาพ ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ขีดเขียนอะไรลงบนกระดาษ แล้วเสกให้เป็น “กฎหมาย” ใช้บังคับกับผู้คน เริ่มต้นจากการประกาศนิรโทษกรรมตนเอง
หลังจากนั้นก็เอาเจตจำนงความต้องการของตนเองเขียนๆ ลงไปในกระดาษ ลงชื่อโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วก็เสกให้เป็น “กฎหมาย” เอามาบังคับประชาชน สั่งให้ทำ สั่งห้ามทำ ใครฝ่าฝืนเอาเข้าคุก แถมยังหน้าด้านหน้าทน เขียนคุ้มกันไว้ว่าทั้งหมดนี้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายชั่วกัลปาวสาน
เผด็จการ คสช. ยังทำให้แนบเนียนขึ้นด้วยการออกกติกาการปกครองประเทศในช่วงยามที่เขาครองอำนาจ เสกคาถาให้ชื่อว่า “รัฐธรรมนูญชั่วคราว 57″กำหนดให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ คสช. เลือกเอง แล้ว สนช. ก็เลือกหัวหน้า คสช. มาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
หัวหน้าคณะรัฐประหารซึ่งมีโทษกบฏแต่นิรโทษกรรมตนเอง ชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นทั้งหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี วันไหนอยากรวดเร็วเด็ดขาดก็สวมหมวก คสช. ออกคำสั่งตามมาตรา 44 วันไหนใจเย็น รอได้ ให้เนียนหน่อย ก็สะกิดให้ สนช. ตราเป็น พ.ร.บ. ทั้งหมดนี้มาในนามของ “กฎหมาย”
สิ่งที่พวกเขาทำทั้งหมดนี้ คือ “ปืน” ที่เอา “กฎหมาย” มาห่อหุ้มให้ดูดี พวกเขาบริหารประเทศ “อยู่ยาว” ไปโดยใช้ “กฎหมายหุ้มปืน” เหล่านี้ ใครต่อต้าน ก็มีเจ้าหน้าที่ที่ยอมศิโรราบ ยอมให้พวกเผด็จการกดขี่สนตะพาย เอา “กฎหมายหุ้มปืน” ไปจัดการจับกุมคนต่อต้าน ต่อมา เผด็จการระบอบ คสช. ก็ออกแบบรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อประกันการสืบทอดอำนาจของพวกเขา ผ่านไป 5 ปี คนที่มีโทษกบฏแต่นิรโทษกรรมตนเองแบบประยุทธ์ ก็แปลงโฉมจากนายกรัฐมนตรีจากการยึดอำนาจด้วยกำลังทางอาวุธ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งหมดก็อาศัย “กฎหมาย” อีกเช่นเคย
แม้มีรัฐธรรมนูญใหม่ แม้มีการเลือกตั้ง แต่เมื่อยังคงมีคนออกมาต่อต้านเขา “นิติสงคราม” ก็ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อตัวเองแต่งหน้าทาปากใหม่เปลี่ยนจากนายกรัฐมนตรีรัฐประหารมาเป็นนายกรัฐมนตรีเลือกตั้งแล้ว การใช้ “ปืน” หรือ “กฎหมายหุ้มปืน” แบบเดียวคงดูไม่งาม
เจ้าหน้าที่ผู้สยบยอมเลือกที่จะ “อยู่เป็น” กับระบอบเผด็จการอำนาจนิยม เจ้าหน้าที่ผู้เป็น “ประชาชนคนธรรมดา” แบบเรา ถูกกดขี่เหมือนเรา ถูกระบอบอยุติธรรมรังแกเหมือนเรา แต่พวกเขาไม่อยู่ข้างประชาชน คนพวกนี้ก็จะพลิกแพลงหากระบวนการทางกฎหมายมาจัดการ นี่คือ “ทาสโดยใจสมัคร” โดยแท้
ใช้วิธีตั้งข้อหากวาดไว้เยอะๆ ตั้งข้อหาแรงเกินจริงอย่างมาตรา 116 เพื่อให้ประกันตัวยาก เป็นข้ออ้างว่าไม่ต้องออกหมายเรียก ขอออกหมายจับเลย ได้หมายจับมา ก็เก็บเอาไว้ ประเมินสถานการณ์ เลือกจับทีละคนสองคน เลือกจับตามวันเวลาเหมาะๆ แล้วก็รอลุ้นให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราว พร้อมวางเงื่อนไขห้ามชุมนุม ทำซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ แกนนำอ่อนแรง การชุมนุมอ่อนแรง การชุมนุมเลิกไป ทั้งหมดนี้ ไม่ต้องใช้ “ปืน” ไม่ต้องสลายการชุมนุม ไม่ต้องใช้กำลังทางกายภาพเข้าปราบ
ทั้งหมดออกมาดูดีอ้างว่าทำตามกฎหมาย เสร็จแล้ว ศาลจะไปยกฟ้องภายหลัง ก็ไม่เป็นไร เพราะบรรลุวัตถุประสงค์ไปก่อนแล้ว พวกเรา “ประชาชน” คนมือเปล่า ไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีอาวุธ ไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้ใต้บังคับบัญชา จะสู้กับ “นิติสงคราม” การใช้ “กฎหมาย” เป็นเครื่องมือได้อย่างไร?
ร่วมกันเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร อัยการ ผู้พิพากษา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐทั้งหลาย ยุติการให้ความร่วมมือกับระบอบเผด็จการคณาธิปไตย หันมาใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ท่านต่างก็เป็นประชาชนเหมือนเรา พวกเราต่างเป็น “เหยื่อ” ของระบอบนี้ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อท่านเลือกอยู่ข้างประชาชน ประชาชนจะอยู่ข้างท่าน เป็นเกราะคุ้มกันให้ท่านเมื่อท่านเป็นผู้กล้าหาญคนแรก จะมีเจ้าหน้าที่ที่กล้าหาญตามมา
ระบอบเผด็จการอำนาจนิยมแบบนี้จะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน และในไม่ช้าระบอบที่ดีกว่าจะได้เข้าแทนที่ ขอให้ท่านตัดสินใจด้วยจิตสำนึกที่เป็นธรรม 2. ประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของแผ่นดินนี้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน ประชาชนผู้ทรงเสรีภาพอันติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิด ไม่มีใครมาพรากไปได้ ต้องรวมตัวกันไปชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ให้มากที่สุด
วิธีนี้เท่านั้นที่จะหยุดยั้ง “นิติสงคราม” ที่พวกเขาใช้ย่ำยีบีฑาเรา
ที่มา : เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล