จากกรณีที่ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โพสต์ถึงเรื่องคดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส กระทิงแดง” ในเพจเฟซบุ๊ก Prayut Chan-o-cha ระบุว่า ตามรายงานที่นายกฯได้รับมาเมื่อวาน เห็นชัดเจนว่า อาจจะมีบางคนที่ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างโปร่งใส หรือใช้จริยธรรมและศีลธรรมนำ
เพราะฉะนั้น นายกฯจะสั่งการให้เริ่มสอบสวนเจ้าหน้าที่หรือบุคคล ที่อาจจะเกี่ยวข้องทำให้เกิดความไม่ถูกต้องในกระบวนการทางกฏหมาย เมื่อวานนี้ ผมได้รับรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีสั่งไม่ฟ้อง “นายวรยุทธ อยู่วิทยา” ที่คุณวิชา มหาคุณ และคณะได้ดำเนินการตรวจสอบ
ผมได้อ่านเอกสารทุกหน้า และรู้สึกว่าสิ่งที่ได้อ่าน เป็นสิ่งที่น่าเศร้ามากสำหรับประเทศไทย ผมขอเริ่มด้วยการพูดถึงสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ก่อน
ผมไม่ใช่คนที่จะตัดสินได้ว่า นายวรยุทธ อยู่วิทยา มีความผิดหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ศาลและผู้พิพากษาจะเป็นผู้ตัดสิน ตามหลักกฏหมาย และหลักฐานต่าง ๆ ที่นำมาประกอบคดี อย่างถูกต้อง พร้อมสั่งเร่งคดีภายใน 30 วัน ก่อนที่จะหมดอายุความ และต้องนำคนผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้
ล่าสุดทางด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน แถลงรายงานฉบับสมบูรณ์ในการค้นหาความจริงกรณีที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ในหัวข้อ “ยุติธรรมกำลังจะกลับมาค้ำจุนชาติ กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท” มีเนื้อหาดังนี้…
ยุติธรรมกำลังจะกลับมาค้ำจุนชาติ
“กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท” ผมเคยเขียนเรื่องคดี “บอส” ว่ายังมีความหวังกับคณะทำงานชุดที่ท่านนายกฯ ตั้งขึ้น ให้รอดูผลการทำงานไปก่อน
เมื่อวานฟังคำแถลงของอาจารย์วิชา มหาคุณ ประธานคณะทำงานฯ แล้ว ดีใจมาก ๆ มีความหวังว่าความยุติธรรมกำลังจะกลับมาค้ำจุนชาติอีกครั้ง
แต่ “ความยุติธรรมจะกลับมาค้ำจุนชาติ” อีกครั้งจริงๆ อย่างน้อยต้องมีการดำเนินการในเรื่องต่อไปนี้ครับ
1) เรื่อง “เจตนาย่อมเล็งเห็นผล” ที่ผมเคยเขียนบอกไว้ในคราวก่อน คดีนี้มิใช่แค่เป็นความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเท่านั้น แต่เป็นการกระทำความผิดแบบ “กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท”
หมายถึงการกระทำความผิดครั้งเดียวแต่เป็นความผิดตามกฎหมายหลายอย่างพร้อมกัน ซึ่งอีกหนึ่งในความผิดหลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันนี้ คือ ความผิดฐาน “ฆ่าคนตายโดยเจตนา” เพราะมีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการกระทำแบบ “เจตนาย่อมเล็งเห็นผล” และเป็นความผิดที่ยังไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหา ไม่เคยสอบสวน และไม่เคยสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องมาก่อน
ที่สำคัญคือยังอยู่ในอายุความที่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องไปยุ่งกับประเด็นการสั่งไม่ฟ้องในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ดังนั้น ผู้ที่จะต้องรับช่วงต่อจากคณะของอาจารย์วิชาจะต้องรีบ ดำเนินการในเรื่องนี้โดยด่วนที่สุด
2) เรื่อง “พยานเท็จ” และ “กระบวนการช่วยเหลือผู้กระทำความผิด”
จะต้องไม่เป็นมวยล้มต้มคนดูเพราะ “พยานเท็จ” และ “กระบวนการช่วยเหลือผู้กระทำความผิด” เป็นสาเหตุหลักของปัญหา หากไม่จัดการพวกนี้ให้สิ้นซากแบบไม่เว้นหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้ว ขบวนการ “พยานเท็จ” และ “กระบวนการช่วยเหลือผู้กระทำความผิด” พวกนี้จะยังคงมีอยู่แบบผีดิบ ที่พร้อมจะคืนชีพทุกครั้งที่มีโอกาส
3) เรื่อง “การฆ่าตัดตอนพยาน”กรณีการตายของนายจารุชาติ มาดทอง หนึ่งในพยานระลึกชาติ ที่จู่ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุตายอย่างกะทันหันและแปลกประหลาดก่อนที่จะมาให้ถ้อยคำกับกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรเพียง 1 วัน พิรุธเยอะมาก ดังนี้
1. การให้ถ้อยคำของคู่กรณีมีพิรุธ
2. ดูจากภาพวงจรปิด ไม่สามารถแยกได้ชัดว่านายจารุชาติหรือคู่กรณี ใครเป็นคนขับขี่รถมอเตอร์ไซค์นำหน้าหรือใครขับตามหลัง แต่ที่แน่ๆ ไม่มีเหตุผลที่ขณะเกิดเหตุจะต้องขับขี่แทบจะต่อท้ายกันมาโดยแทบจะไม่เว้นระยะห่างเลย จนเกิดการเฉี่ยวชนกันขึ้น คนขับขี่ตามหลังมาชนท้ายคันหน้า หรือคนขับขี่คันหน้าแบรคให้คนขี่ตามหลังชนท้าย
3. หลังเกิดเหตุรถของนายจารุชาติล้มลงตรงที่เกิดเหตุ ดูจากภาพไม่ได้รุนแรงอะไรเลย เพียงแค่รถล้มธรรมดาๆ ตามปกติเหตุการณ์เช่นนี้อย่างมากก็บาดเจ็บสาหัสไม่ถึงกับตาย แต่นายจารุชาติตาย
4. รถคู่กรณีไถลไปตามทางประมาณ 10 เมตร แล้วไปกระแทกกับขอบฟุตบาทเกาะกลางถนน จึงมีแรงกระแทกที่แรงขึ้นทั้งจากความเร็วรถและจากแรงไถล รถคู่กรณีจึงมีแรงกระแทกมากกว่ารถของนายจารุชาติที่เพียงล้มลงกับพื้นตรงที่เกิดเหตุ และตัวคู่กรณีก็ได้รับแรงกระแทกกับขอบฟุตบาททั้งจากน้ำหนักตัว น้ำหนักรถ แรงกระแทกจากความเร็วและแรงลื่นไถลของรถ แต่คู่กรณีแค่บาดเจ็บเล็กน้อย ในขณะที่นายจารุชาติตาย
5. จากภาพวงจรปิด หลังเกิดเหตุมีกลุ่มคนวิ่งกรูกันออกมาจากข้างถนนฝั่งตรงข้ามหลายคน แต่ทุกคนวิ่งตรงไปที่นายจารุชาติ โดยไม่สนใจที่จะเข้าไปดูคู่กรณีที่เกาะกลางถนนเลย เป็นการผิดปกติวิสัยของสามัญชนที่เห็นอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดมาก่อน
6. ไม่ปรากฎข่าวการสอบสวนคนกลุ่มที่วิ่งกรูกันเข้าไปที่นายจารุชาติ และไม่เคยปรากฎข่าวว่าเป็นใคร เห็นเหตุการณ์อย่างไร
7. ไม่เคยปรากฎความชัดเจนว่าใครเป็นผู้นำตัวนายจารุชาติส่งโรงพยาบาล เดินทางไปโรงพยาบาลอย่างไร และโดยรถของใคร
8. พบว่าโทรศัพท์มือถือของนายจารุชาติหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ต่อมาก็พบแต่ถูกทุบทำลาย และต่อมามีผู้แจ้งว่าตนเป็นคนเอาโทรศัพท์ของนายจารุชาติไป อ้างว่ามีรูปตนเองอยู่ในโทรศัพท์ไม่ต้องการให้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นพิรุธและเป็นการกระทำผิดกฎหมายฐานทำลายพยานหลักฐาน โดยเฉพาะเมื่อมีข้อสงสัยว่านายจารุชาติอาจถูกทำให้ตาย แต่ไม่มีการสอบสวนดำเนินคดีชายผู้นี้เลย เป็นพิรุธและผิดปกติวิสัยของการสอบสวนกรณีสงสัยเกี่ยวกับการตาย
9. แม้โทรศัพท์มือถือจะถูกทุบทำลายแต่ในทางปฏิบัติยังสามารถนำไปตรวจสอบและถอดข้อมูลได้ แต่ไม่ปรากฎข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการเช่นว่านี้เลย
10. การที่บุคคลที่ได้รับอุบัติเหตุและอาจอยู่ในสภาพที่ช่วยตัวเองไม่ได้นั้น เป็นการง่ายที่จะทำให้ตาย เพียงแค่หาวิธีที่ทำให้หายใจไม่ออกธรรมดาๆ ที่ไม่มีร่องรอยเท่านั้น เช่น บีบจมูกอุดปากเบาๆ ก็ไปแล้ว ไม่ต้องบีบคอก็ได้ครับ
เรื่องเหล่านี้เคยตรวจสอบหรือสอบสวนกันหรือยัง