จากกรณีข้อพิพาทในเรื่องของ “เหมืองทองคำ” ที่มีเอกสารในการตั้งงบประมาณของปี 2564 ในส่วนของงบประมาณเพื่อสู้คดี ในประเด็นที่เหมืองทองอัครา ถูกปิดตัวลงเมื่อปี 2559
ล่าสุด นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้เปิดเผยว่า กรณีข้อพิพาทเรื่องเหมืองทองอัคราระหว่างประเทศไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ที่เกิดขึ้นจากการที่ภาครัฐได้ตระหนักถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน เพื่อคุ้มครองประชาชนที่ได้ผลกระทบ
โดยการดำเนินการของภาครัฐจึงเป็นการดำเนินการตามมาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งในส่วนของกระบวนการอนุญาโตตุลาการยังอยู่ในระหว่างการต่อสู้คดีอย่างรอบคอบ ซึ่งในขณะนี้ คณะอนุญาโตตุลาการยังไม่มีคำตัดสินชี้ขาดแต่อย่างใด แต่ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการดำเนินงานระงับข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานคณะกรรมการ ก็ยังเปิดโอกาสให้ใช้แนวทางในการเจรจาเพื่อหาข้อยุติร่วมกันก่อนที่คณะอนุญาโตตุลาการจะมีคำตัดสินชี้ขาด
ทั้งนี้ ขอให้เชื่อมั่นว่า แนวทางในการเจรจาของฝ่ายไทยจะอยู่ภายใต้กฎหมายโดยยึดถือประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก จะไม่มีการเอื้อประโยชน์หรือเลือกปฏิบัติแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยจะคำนึงดุลยภาพที่เป็นธรรมต่อประชาชน ชุมชนในพื้นที่ รวมไปถึงผู้ประกอบการ
สำหรับในเรื่องของบประมาณที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ ขอชี้แจงว่า จากการที่บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ประเทศออสเตรเลีย ได้ยื่นให้ราชอาณาจักรไทยเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ภายใต้ความตกลง การค้าเสรีระหว่างไทย-ออสเตรเลีย ดังนั้น กพร. จึงจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณในการต่อสู้คดีในฐานะประเทศไทย โดยใช้เป็นค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายในกระบวนการและขั้นตอนการต่อสู้คดีในขั้นอนุญาโตตุลาการ เพื่อรักษาผลประโยชน์ตามสิทธิอันพึงมีพึงได้ของประเทศไทยภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ