จากกรณีเมื่อวันที่ 4พ.ย.62 ที่ผ่านมาได้มีงาน “FIRST MOVE ทิศทางไทย” ซึ่งเป็นการเปิดตัวสถาบันทิศทางไทย โดยมีการกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ทิศทางการพัฒนาประเทศไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลก” จาก“ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ฐานะนายกสภาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ รวมทั้งยังมีการแสดงแห่งความเป็นไทย ขับเสภาร่วมสมัย เท่าทันโลก ตระหนักรู้ ก้าวสู่ทิศทางไทยใหม่ โดย “เก่ง ธชย ประทุมวรรณ”ด้วย
ทั้งนี้โดยดร.จิรายุ กล่าวช่วงหนึ่งว่า การพัฒนาประเทศไทย สำหรับค่อนข้างยินดีสถาบันทิศทางไทย ซึ่งปัจจุบันการบริหารการปกครองของไทยใช้เอกลักษณ์ของรัฐไทย คือการปกครองที่มีบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นการปกครองที่มีลักษณะแบ่งออกเป็น3ด้าน คือการบริหารภายใต้รัฐบาล พัฒนาประเทศ อาศัยการออกกฎหมาย ส่วนที่2รัฐสภา และส่วนที่การให้เกิดความยุติธรรมผ่านศาล เราต้องยึดมัน สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่สูงสุดแต่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ตนเห็นว่าแล้วสอดคล้องกับสถาบันทิศทางไทย
“ผมได้มีโอกาสในอดีตที่ได้ลงมา วิเคราะห์และมีข้อสรุปที่ตรงกับสถาบันทิศทางไทยที่พูดไป ถ้าเราแก้ปัญหาในแนวทางที่ถูกต้อง ให้พลเมืองเรารวมตัวกันที่จะเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง เรามีศักยภาพที่จะทำอะไรดีๆให้กับประเทศเราได้แน่นอน คือ ประเทศไทยได้ก้าวหน้ามาเยอะ อย่างเช่น ผมได้เคยศึกถึงธนาคารโลก มี13ประเทศในโลกและไทยเป็นหนึ่งใน13ประเทศ ที่ได้ก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธนาคารโลกศึกษามา13ประเทศมีความเจริญก้าวหน้ามองในแง่ความเติบโตของจีดีพี เว้นปี2540 แต่เราก็มีปัญหาใหญ่ที่ยังอยู่กับเรา คือ1.ปัญหาความเหลื่อมล้ำ 2.ปัญหาสิ่งแวดล้อม 3.ปัญหาความเสื่อมทางจริยธรรมของคน
อันนี้ผมคิดว่าตรงกับสิ่งที่สถาบันทิศทางไทยที่ต้องการ ตรงกับที่คุณเก่งมาร้องเมื่อกี๊ ว่านี่คือจิตใต้สำนึกและแรงบันดาลใจในการมาแก้ปัญหาของประเทศในปัจจุบันเพื่อเดินไปสู่อนาคต อย่างยั่งยืนและมั่นคง”
ขณะที่นายสนธิญาณ กล่าวช่วงหนึ่งด้วยว่า วันนี้ไม่อยากเห็นประเทศไทยนำไปสู่การปะทะ หลังๆผมคุยกับคุณจตุพร(พรหมพันธุ์)บ่อย คุยเพื่อที่จะแลกเปลี่ยนทำความเข้าใจกันว่าบ้านเมือง ควรจะเป็นไปในทิศทางไหน นี่ก็เป็นแรงบันดาลใจอันหนึ่ง ซึ่งสถาบันทิศทางไทยเราเน้นย้ำว่า เราสร้างปัญญาที่เป็นสัมมาทิฐิ ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฐิ คือปัญญาที่จุดประกายความคิด ฉะนั้นการมาอบรมที่นี่ก็คือ แค่คุณถูกจุดประกายแล้วกลับไปค้นคว้าต่อเองไม่ใช่การชี้นำ ประเด็นทั้งหมดข้อมูลเพียงสั้นๆแล้วจะมีลิงค์ เพราะฉะนั้นในค้นกูเกิลมีลิงค์ค้นไปเรื่อยๆ หลักคิดนี้ถ้าเราสร้างผู้นำทางสังคมที่มีสติปัญญา ที่มีสัมมาทิฐิ รู้จักใช้สื่อให้แพร่กระจายออกไป มันก็คือการเคลื่อนตัวของสังคมขนาดใหญ่ ซึ่งตอนที่คอมมิวนิสต์อบรมมา สาระสำคัญไม่ใช่การจับอาวุธสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง มันต้องขยายมวลชน ต้องปลุกแล้วก็ปฏิวัติมวลชน เหมือนอย่างประเทศจีนที่เข้มแข็งเพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงทางความคิด ตั้งแต่ระดับผู้นำไปจนถึงระดับประชาชน อีกทั้งในเรื่องของกลุ่มทุนโลก ประชาธิปไตยแบบตะวันตกเป็นอย่างไรในการปรับใช้กับประเทศไทย เปรียบการตัดเสื้อต้องเข้ากับตัว หรือจะตัวให้เข้ากับเสื้อ ไม่นำไปสู่ท้องถนนอีก ความขัดแย้งต้องไม่มีแบบนี้ เราก็มีการอบรมเรื่องเหล่า รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทยที่ต้องยึดโยงกันนั้นเป็นอย่างไรในสภาพการณ์ปัจจุบัน
จากนั้นนายสนธิญาณ ได้แนะนำกรรมการผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทยและคณาจารย์สถาบันทิศทางไทยโดยมีรายชื่อดังนี้
1.สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม
2.ดร.สุวินัย ภรณวินัย
3.นายชูชาติ ศรีแสง
4.พลเอก สมเจตน์ บุญถนอม
5.นายเดช พุ่มคชา
6.นายฉาย บุญนาค
7.นายธงชัย สุวรรณวิหค
8.นายสาวิทย์ แก้วหวาน
9.นายธนุ สุขบำเพิง
10.ดร.แสงเทียน อยู่เถา
11.กิ่งการะเกด ชื่นฤทัยในธรรม
12.ฑีญา เผ่าสวัสดิ์
13.ดร.วีรพจน์ ลือประสิทธิ์กุล
14.ดร.นักรบ ระวังการณ์
15.ดร.เวทิน ชาติกุล
16.นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย
17.ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์
18.นายหาญศักดิ์ หาญสมวงศ์
19.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
20.ดร.กัมปนาท ภักดีกุล
21.นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี
22.ดร.เสรี วงศ์มณฑา
23.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น
24.พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์
25.นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
อย่างไรก็ตามในงานเปิดตัววันนี้มีคนในหลายแวดวงเข้าร่วมอย่างคึกคัก เช่น นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย นายบุญชัย เบญจรงคกุล พล.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีตรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คนที่ 1 หฤทัย ม่วงบุญศรี หรือ อุ๊ นักร้องชื่อดัง ฯลฯ
นอกจากนี้มีการร่วมลงนามอวยพรให้สถาบันทิศทางไทย ได้นำพาสังคม ประเทศชาติสู่การพัฒนาเป็นองค์กรนำในการให้ความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมทั้งภายในและนอกประเทศ มีความรู้ด้วยสัมมาทิฐิ และขอให้เป็นสถาบันที่มั่นคงแข็งแรงอยู่คู่สังคมประเทศไทยต่อไป