สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล ออกแถลงการณ์2 ฉบับ พร้อมจี้ ‘บารมี’หยุดแอบอ้างกลุ่ม ชี้เคลื่อนไหวส่วนตัว
จากกรณีสมัชชาคนจน ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เรื่อง ในประเด็นประนามการคุกคามเยาวชน และประกาศการเข้าร่วมชุมนุมเพื่อประชาธิปไตยนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล สคจ. ได้ออกแถลงการณ์จำนวน 2 ฉบับ โดยฉบับแรก เป็นการประกาศจุดยืนทางการเมือง เนื้อหาแถลงการณ์ระบุว่า
“แถลงการณ์สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล (ฉบับที่ 1) “ก้าวข้ามความขัดแย้ง ร่วมสร้างสังคมสันติสุข”
ปรากฎการณ์ “#ประชาชนปลดแอก” ที่มีบรรดานักเรียน นักศึกษา และประชาชน รวมตัวกันออกมาแสดงเจตจำนงค์ เรียกร้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การหยุดคุกคามประชาชน และยุบสภา ที่ได้ก่อตัวขยายวงอย่างกว้างขวางทั้งในเมืองหลวง และอีกหลายแห่งในพื้นที่ต่างจังหวัด ได้รับความสนใจ จากคนในสังคมไทย และระดับนานาชาติ ในขณะนี้นั้น ได้มีปฏิกิริยา ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็น อันเป็นความหลากหลายในระบอบสังคมประชาธิปไตย ล่าสุดแกนนำการเคลื่อนไหว ได้ถูกจับกุมดำเนินคดีจำนวนหลายคน
สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล ซึ่งเป็นขบวนการประชาชน ที่เกิดจากการรวมตัวกันของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล ซึ่งมีประสบการณ์ในการต่อสู้การเรียกร้อง กับรัฐบาลมาทุกยุค ทุกสมัย ทั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร พวกเราได้ติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหว อย่างต่อเนื่อง ตลอดมา ในฐานะหุ่นส่วนหนึ่งในสังคมไทย สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล มีความเห็นดังนี้
1. การเคลื่อนไหวของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนในครั้งนี้ นับว่าเป็นมิติใหม่ที่คนหนุ่มสาว จำนวนมากได้แสดงให้เห็นถึงการตื่นตัวทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี และมีประโยชน์แก่ประเทศไทยในอนาคต ทุกภาคส่วนในสังคมควรรับฟังอย่างมีเหตุผล ไม่ควรฉวยเอาประโยชน์ หรือใส่สี ผลักให้เลือกข้าง เพราะจะนำไปสู่หลุมพราง กับดักความขัดแย้ง ดังเช่นที่ผ่านมา
2. ข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ล้วนมีสาเหตุ มีที่มา ควรที่ผู้มีอำนาจ จะต้องรับเอาไปพิจารณา
3. ในสังคมประชาธิปไตย ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะมีทั้งฝ่ายเห็นด้วย และฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีฝ่ายใดจะอ้างสิทธิตามความคิดเชื่อของตนเอง แล้วไปทำร้ายฝ่ายที่เห็นต่าง ทุกฝ่ายควรยึดหลัก “สันติ” ในการใช้สิทธิ์โดยไม่ใช้ความรุนแรง หรือการสร้างความเกลียดชัง กับฝ่ายที่คิดเชื่อต่างกัน
4. เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างความปรองดองของคนในสังคมไทย ควรยุติ ยกเลิกการดำเนินคดีกับแกนนำผู้ชุมชน และให้มีการนิรโทษกรรม นักโทษ ผู้ต้องหา คดีการเมือง กับทุกฝ่าย
ประเทศไทยบอบช้ำกับความขัดแย้ง การแตกแยกมานานมาก ควรถึงเวลาที่จะร่วมมือกัน ใช้ประสบการณ์อันเจ็บปวดเป็นบทเรียน เพื่อร่วมกันก้าวข้ามความขัดแย้ง ไปสู่สังคมที่สันติสุขร่วมกัน”
หลังจากนั้น ได้มีการแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ออกมา เนื้อหาแถลงการณ์ระบุว่า “ปรากฎการณ์ “#ประชาชนปลดแอก” ที่มีบรรดานักเรียน นักศึกษา และประชาชน รวมตัวกันออกมาแสดงเจตจำนงค์ เรียกร้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การหยุดคุกคามประชาชน และยุบสภา ที่ได้ก่อตัวขยายวงอย่างกว้างขวางทั้งในเมืองหลวง และอีกหลายแห่งในพื้นที่ต่างจังหวัด ได้รับความสนใจ จากคนในสังคมไทย และระดับนานาชาติ ในขณะนี้นั้น ได้มีปฏิกิริยา ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็น อันเป็นความหลากหลายในระบอบสังคมประชาธิปไตย ล่าสุดแกนนำการเคลื่อนไหว ได้ถูกจับกุมดำเนินคดีจำนวนหลายคน
สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล ซึ่งเป็นขบวนการประชาชน ที่เกิดจากการรวมตัวกันของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูล ซึ่งมีประสบการณ์ในการต่อสู้การเรียกร้อง กับรัฐบาลมาทุกยุค ทุกสมัย ทั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร พวกเราได้ติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหว อย่างต่อเนื่อง ตลอดมา ซึ่งที่ผ่านมาสมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล เคลื่อนไหว ผลักดันการแก้ไขปัญหาปากท้อง วางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่การเมือง หรือคู่ขัดแย้งทางการเมืองฝ่ายใด ด้วยตระหนักดีว่าทุกภาคส่วนล้วนเป็นหุ้นส่วนของสังคมไทยด้วยกัน สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล เคารพ น้อมรับ ต่อบทบาทของแต่ละฝ่ายเสมอมา
กรณีการจับกุมแกนนำการชุมนุม ซึ่งมีทั้งนักเรียน นักศึกษา และประชาชนนั้น ในส่วนของผู้ถูกจับกุมหนึ่งท่าน คือ นายบารมี ชัยรัตน์ ได้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสังคมอย่างมาก นั้น สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล ขอนำเรียนชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
1. การเข้าร่วมเคลื่อนไหวของนายบารมี ชัยรัตน์ เป็นการกระทำของบุคคล ไม่เกี่ยวข้อง หรือได้รับฉันทามติ จากสมัชชาคนจน ซึ่งมีสมาชิกอยู่ทั่วประเทศ
2. การออกแถลงการณ์สมัชชาคนจน ของกลุ่มนายบารมี ชัยรัตน์ ที่จะนำมวลชนซึ่งเป็นชาวบ้านผู้เดือดร้อน เข้าไปชุมนุมทางการเมืองนั้น เป็นการกระทำที่จะนำไปสู่ ความขัดแย้งในมวลหมู่สมาชิก ที่ชาวบ้านจำนวนมาก รวมตัวกันเพื่อผลักดัน เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ไม่ใช่นำไปต่อสู้ทางการเมือง การกระทำดังกล่าวจะเป็นการทำลายขบวนการประชาชน
3. สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล ขอปฏิเสธ และไม่ขอรับผิดชอบ ต่อการกระทำใด ใด ของนายบารมี ชัยรัตน์ ที่จะมีขึ้นในอนาคต
4. สิ่งที่นายบารมี ชัยรัตน์ กับพวก ได้กระทำนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของสมาชิกสมัชชาคนจน เป็นการกระทำเฉพาะเพียงบางส่วน ซึ่งขัดกับหลักปฏิบัติของขบวนสมัชชาคนจน ตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน อันเรียกได้ว่า เป็นการกระทำที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
5. สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล ขอให้นายบารมี ชัยรัตน์ ยุติการแอบอ้าง การใช้ชื่อสมัชชาคนจน ในการเคลื่อนไหว หรือร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง
ท่ามกลางความขัดแย้ง คนจน ปัญหาคนจน ยังจำเป็นที่จะต้องผลักดัน เรียกร้องต่อไป การขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชน จึงต้องดำเนินไปอย่างระมัด ระวัง ไม่ถลำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง กับฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง ขอให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทย ได้เข้าใจในข้อจำกัด ของพวกเราด้วย”