แกนนำนวชีวิน แฉเบื้องหลังความเน่าเฟะ ขบวนการประชาธิปไตย

0

นายภูมิวัฒน์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมนวชีวิน (New Life Network) หนึ่งในกลุ่มที่ร่วมขับเคลื่อนกับเยาวชนปลดแอก ได้ออกมาแฉความเน่าเฟะ

ล่าสุดทางด้านของ นายภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ แกนนำกลุ่มนวชีวิน ที่อดข้าวประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาล และเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เข้าร่วมกับกลุ่มเยาวชนปลดแอกมาตั้งแต่ต้น ได้โพสต์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความเน่าเหม็นของขบวนการที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตยไว้ดังต่อไปนี้

ไหนๆ ก็มีพี่ๆ จากเพจ The METTAD ตามมาอ่าน และให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แล้วผมเองก็เกรงว่าจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ เลยอยากใช้พื้นที่ตรงนี้อธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะครับ

ผมเอง เคลื่อนไหวในการต่อต้านคณะรัฐประหารนับตั้งแต่วันแรก ในฐานะเยาวชน และนักเคลื่อนไหวอิสระที่ไม่เห็นด้วยกับที่มาของอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติที่ไม่มีความชอบธรรม ผมจึงไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งส่วนใด และไม่เคย ‘ถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่ง’ ของขบวนไหนมาตั้งแต่ต้น ที่พูดแบบนี้ ก็เพราะไม่เคยมีส่วนร่วมในระดับใด นอกจากการช่วยแบกของ ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ แม้จะมีค่ายหรืออะไร ก็ไม่เคยถูกชวนไป

มีระยะหนึ่งที่ผมได้ร่วมงานการเมืองกับพรรคที่พวกที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยไม่ค่อยจะนิยมเท่าไหร่นัก (โดยไม่คำนึงว่า ถ้าไม่ทำ กูจะเอาอะไรกิน) ก็โดนตัดขาดจากความเป็นเพื่อนบ้าง ถูกทำให้กลายเป็นคนไม่รู้จักกัน ในขณะที่หลายคนได้ถูกชักชวนไปทำงาน ณ พรรคแห่งหนึ่ง ผมและเพื่อนหลายคนไม่ได้ถูกชวนไป หรือถูกชวนไปก็กลายเป็นลูกจ้างระดับต่ำที่ค่าแรงออกไม่ตรงเวลา หรืออยู่ในพื้นที่ซึ่งอ้างว่าเปิดความคิดเห็น แต่ไม่ถูกรับฟัง เพราะระดับของการศึกษา

ระหว่างทาง ผมได้เจอหลายคนที่ต้องเจ็บปวด ต้องเสียใจ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องส่วนตัว (ทั้งแบบเรื่องส่วนตัวจริงๆ หรือการนำเรื่องส่วนตัวมาใช้โจมตีกัน) ได้ถามหลายๆ คน บางคนไม่ขอตอบ บางคนไม่ขอพูดถึงเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป หลายคนได้ระบายออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะฉะนั้น เรื่องที่ผมพูด ไม่ได้เพียงมาจากสิ่งที่ผมได้เห็น แต่ยังเป็นประสบการณ์ร่วมที่หลายๆ คนได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการที่ขาดการมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะด้วยความบอบช้ำทางจิตใจที่ไม่สามารถทำใจได้ว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นมาจากเพื่อนร่วมทาง คนที่เคยพูดเรื่องนี้ไปก่อนผม บางคนโดนปล่อยภาพว่าไปกินเหล้ากับตำรวจ เลยโดนบอกว่าเป็นสาย ทั้งๆ ที่ภาพนั้นแม่งมาจากคนที่ปล่อยซึ่งแม่งก็ไปกินด้วยกัน

บางคนที่เอาเรื่องเหล่านี้ไปพูด โดนโทรขู่ทำร้าย บ้างเองก็ถึงขั้นโดนขู่วางเพลิง (มีช่วงหนึ่ง ที่พวกอกหักเอามาย้อนคุยกัน ว่าเป็นช่วงที่นักกิจกรรมเข้าโรงพยาบาลบ้ากันเป็นโขยง ก็ตลกๆ ดี)

ในเรื่องหาเศษหาเลยนั้น ผมยังยืนยันอยู่ว่า แทบจะทั้งหมด แทบจะทั้งหมดที่นึกถึงออก หรือถ้าให้นับในจำนวนคนที่เป็นหน้าใหม่ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ พวกเขาล้วน ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว หรือที่มาจากการบริจาคของพี่น้องผู้ศรัทธาในตัวเหล่าคนที่เป็นนักสู้ และผมยังยืนยันได้ว่า มันแทบจะทุกคนที่ร่วมทาง ที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบในการสูญเสียโอกาสทางอนาคตหลายๆ ทาง ในขณะที่พวกที่เป็น ‘ลูกอีแอบ’ บางคน ยังมีอนาคตเต็มที่ และไม่กลับไปทักทายคนเหล่านั่นราวกับว่าไม่เคยรู้จักกัน

บนทางของผม มันคือการต่อสู้กับเหล่ามิตร ผมจึงเคยอกหัก แต่กลับมาต่อสู้อีกครั้ง เคลื่อนไหวอีกครั้งบนเส้นทางของตัวเองและแนวร่วม ที่ถอดบทเรียนความผิดพลาด และเจ็บช้ำ

ถ้าผมจะตาสว่างจากอะไร ผมก็คงตาสว่างจากเหล่าผู้กดขี่ ทั้งผู้กดขี่ต่อประชาชน และผู้กดขี่ที่เป็นวีรชนเอกชน ที่เหยียบหลังผู้อื่นไปบนเส้นทางประชาธิปไตย

การต่อสู้ของผมต่อเหล่าผู้มีอำนาจเหล่านี้จะไม่มีวันจบ จนกว่าสังคมนี้จะมีเสรีภาพ เสรีภาพที่แท้จริงที่ไม่ใช่เพียงแต่ต้องพูดเรื่องของผู้มีอำนาจได้อย่างหมดเปลือก แต่ยังต้องพูดถึงความไม่ชอบมาพากลทุกอย่างได้ในทุกระดับ
การต่อสู้ของผมต่อจะยังดำเนินไปจนกว่าเราจะมีสังคมที่ไร้ซึ่งความเหลื่อมล้ำ ทางโอกาส ทางอำนาจ ทางสังคม ทางการศึกษา แม้แต่ในทางที่เหลื่อมล้ำในระดับการมีส่วนร่วมกับกระบวนการทางประชาธิปไตยทุกรูปแบบ
อย่านับผมว่าเป็นฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่ผมกลับมายืนบนสนามนี้ ผมเลิกเรียกตัวเองว่าแบบนั้นไปแล้ว ผมนับว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ

จะสู้แบบที่ต้องมีผู้กดขี่คนใหม่ ผมไม่สู้ด้วย และถ้ามีผู้กดขี่คนใหม่ ผมนี่แหล่ะ จะหาทางฆ่าพวกแม่งก่อนใครเลย
จะสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็จะได้มา ด้วยกระบวนการที่มีความเป็นประชาธิปไตยในทุกระดับ
ผมไม่เคยกลัวไอ้อีหน้าไหน และผมเชื่อเสมอ ว่าการพูดความจริง ไม่เคยส่งผลเสียเท่ากับการตระบัดสัตย์กับมวลชน อย่านับรวมผมเป็นพวกเดียวกันกับคนที่ไม่นับว่าผมเป็นพวกเดียวกัน ผมมีการต่อสู้ของผม พวกเขาบางคนเหล่านั้นมีการต่อสู้ของพวกเขา

นี่ไม่ใช่การอกหักครับ แค่เรารู้ตัว ว่าเรามีการต่อสู้ของตัวเอง

ปล. ผมไม่เคยโกรธนะครับ ที่ไม่ให้ผมขึ้นพูดไม่ให้ขึ้น คือ เราเป็นคนที่ปราศัยไม่เก่งเลยอยู่แล้ว แล้วในโพสต์นั้นมันก็ชัดเจน ว่าผมไม่ได้ตั้งใจไปเพื่อปราศัย แต่มีน้องชวนตอนที่กำลังกลับ และน้องคนนั้นก็ไปจัดการลง คิวให้
ที่ผมโกรธในวันนั้นมากๆ คือการยึกยัก แล้วทำให้ต้องยืนรอโดยไม่มีความจำเป็น คือมันเสียเวลา เสียความรู้สึกที่ต้องยืนรอ และไม่มีคำตอบใดๆ สำหรับเรื่องนั้นต่างหาก

เรื่องวันนั้น มันเป็นจุดแตกหักสำหรับผม มันเป็นความไม่พอใจที่มีอยู่มา 6-7 ปีบนเส้นทางนี้ (นั่นหมายความว่า สิ่งที่ผมพูดอยู่ ไม่เกี่ยวข้องเลย กับคนที่เพิ่งเริ่มเคลื่อนไหว หรือคนหน้าใหม่ในขบวน) ไม่ใช่อะไรที่อยู่ดีๆ ผมจะมาพูด และก่อนกลับมาบนทางนี้ ผมก็ได้พยายามรื้อฟื้นหลายๆ อย่างกับผู้เกี่ยวข้อง พยายามคุยดีๆ หลายครั้งเหมือนที่หลายๆ คนเคยทำในอดีต แต่ก็ไร้คำตอบ ไร้ผล ไร้การตอบรับ เคยพยายามพูดดีๆ อดทนนานแสนนาน จนต้องบันดาลโทสะ

มันมีหลายๆ เรื่องที่ผมไม่โอเคด้วย แล้วไม่ใช่เพิ่งจะมาไม่โอเคเพราะแค่เรื่องนั้นเพียงอย่างเดียว
มันจบแล้วครับนาย