จากที่วันนี้(17ส.ค.63) วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และนักเขียนดับเบิ้ลซีไรต์ ได้โพสต์ข้อความถึงการทดลองทางจิตวิทยาที่สำคัญ โดยฉายภาพสะท้อนมาถึงสังคมปัจจุบันอย่างมีความน่าสนใจ ศึกษาเรียนรู้ร่วมกันว่า
ในเดือนกรกฎาคม ปี 1961 สแตนลีย์ มิลแกรม นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา ทำการทดลองทางจิตวิทยาสำคัญครั้งหนึ่ง ต่อมาเรียกว่า The Milgram Experiment
การทดลองนี้ประกอบด้วยตัวอย่างทดลองสองกลุ่ม กลุ่มแรกทำหน้าที่เป็นครู กลุ่มหลังทำหน้าที่เป็นนักเรียน ทดลองทีละคู่โดยมี สแตนลีย์ มิลแกรม เป็นผู้ควบคุมการทดลอง นักเรียนอยู่ที่ห้องหนึ่ง ครูกับผู้ควบคุมอยู่อีกห้องหนึ่ง
การทดลองเริ่มด้วยผูกข้อมือของนักเรียนด้วยเส้นลวดเชื่อมกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ครูทำหน้าที่ป้อนคำถามแก่นักเรียน หากนักเรียนตอบไม่ได้ ครูจะลงโทษนักเรียนคนนั้นโดยกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าไปชอร์ตนักเรียน ปุ่มเหล่านี้เรียงจากค่าต่ำสุดไปถึงสูงสุด เมื่อตอบผิดครั้งแรก นักเรียนจะถูกลงโทษด้วยกระแสโวลต์ต่ำ และจะเพิ่มขึ้น 15 โวลต์ทุก ๆ ครั้งที่ตอบผิด บทลงโทษสูงสุดคือ 450 โวลต์ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์
ความเครียดเกิดขึ้นกับครูทุกคน เพราะเมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าไปหลายครั้ง นักเรียนจะร้องด้วยความเจ็บปวด จนถึงจุดจุดหนึ่งนักเรียนจะขอร้องครูไม่ให้ลงโทษพวกเขา บางคนทุบกำแพง บางคนร้องไห้ ครูบางคนลังเลและบอกผู้ควบคุมว่าจะขอเลิกทดลอง บางคนบอกว่าจะคืนเงินค่าจ้าง ผู้ควบคุมตอบว่า “เลิกไม่ได้ โปรดเดินหน้าทดลองต่อไป”
บางครั้งนักเรียนปฏิเสธที่จะตอบ เพราะกลัวตอบผิด ครูจะถือว่านักเรียนตอบคำถามนั้นผิด และกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้า
แม้จะรู้สึกไม่สบายใจนัก ผู้ที่รับหน้าที่เป็นครูส่วนใหญ่ก็ดำเนินการต่อไปจนจบ ครูบางคนทนไม่ได้จริง ๆ ก็เดินออกจากห้องไป แต่ครูบางคนก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร
หลังการทดลองจบแล้ว ผู้ควบคุมจะอธิบายให้ครูฟังว่า การทดลองนี้ไม่มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าจริงแต่อย่างใด นักเรียนที่มาทดลองทำหน้าที่เล่นบทหลอกครูเท่านั้น เสียงร้องของนักเรียนเป็นเสียงที่อัดเทปล่วงหน้า เพื่อหลอกดูปฏิกิริยาของครู ครูก็คือกลุ่มตัวอย่างที่แท้จริงของงานนี้
แม้ The Milgram Experiment ได้รับการวิพากษ์ว่าผิดจรรยาบรรณของการทำวิจัย แต่ผลการค้นพบน่าสนใจอย่างยิ่ง มันบอกว่ามนุษย์เราสามารถปฏิบัติตามคำสั่งให้กระทำเรื่องเลวร้ายได้ ทั้งที่รู้ว่ามันผิด
การค้นพบนี้อธิบายว่ามนุษย์เราเชื่อฟังอำนาจเบื้องบนโดยไม่มีเหตุผล แม้ว่าเบื้องบนจะออกคำสั่งให้ทำร้ายมนุษย์ด้วยกัน นี่อาจอธิบายว่าทำไมทหารนาซีจึงสามารถฆ่าชาวยิวหกล้านคนในสงครามโลกครั้งที่สอง รวมทั้งการทรมานนักโทษทุกรูปแบบ ทั้งที่รู้อยู่ว่ามันเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องและผิดศีลธรรม
นี่เป็นภาพที่เราเห็นเป็นประจำในสังคมบ้านเรา ข้าราชการรับคำสั่งรัฐมนตรีให้ปล้นชาติโดยไม่แย้ง ทั้งที่รู้โดยมโนธรรมและศีลธรรมว่ามันไม่ถูกต้อง อัยการปล่อยคนร้ายให้พ้นมือกฎหมาย ตำรวจรับใช้โจรที่เล่นการเมืองจนเป็นใหญ่ พัสดีโค้งคำนับนักโทษ ครูบาอาจารย์รับใช้นักการเมืองชั่ว ฯลฯ
ทหารนาซีที่ฆ่าชาวยิวก็เป็นคนธรรมดา รักครอบครัว เข้าโบสถ์ ตำรวจ พัสดี ครูอาจารย์ก็เป็นคนธรรมดา มีศาสนา เข้าวัดเข้าวา แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนเป็นปิศาจได้
ในชีวิตจริง คำสั่งมาในหลายรูปแบบและมีความรุนแรงต่างกัน ตั้งแต่การฆ่ากัน การยกพวกตีกัน ไปจนถึงเรื่องเล็ก ๆ เช่น ประเพณีรับน้องวิตถารในบางสถาบัน
นักเรียนที่ยกพวกตีกันอาจมาจากครอบครัวที่ดี พ่อแม่อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี แต่ภายใต้บางสถานการณ์ เมื่อพวกเขาตกอยู่ในคำสั่งให้ฆ่าหรือทำร้ายนักเรียนโรงเรียนอื่น ก็ไม่ปฏิเสธ
หลายคนเสพยาเพราะเพื่อนทุกคนเสพยา “ไม่งั้นจะเสียเพื่อน”
ในประเพณีรับน้อง เมื่อทุกคนก็ ‘ว้าก’ ใส่รุ่นน้อง เราก็ต้องทำด้วย “ไม่งั้นจะเข้ากับใครไม่ได้” ฯลฯ
ความแตกแยกของสังคมบ้านเราในช่วงหลายปีนี้ สร้าง ‘ความชอบธรรม’ ให้เราทำร้ายเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น ฆ่าพวกมันให้ตาย เอามันให้หนัก “เพราะพวกมันไม่ใช่พวกเรา”! ในที่สุดก็ไม่ต่างจากพวกนาซีที่ฆ่าชาวยิวไปหกล้านคน
คนเรามีข้ออ้างเสมอเพื่อสร้างความชอบธรรมหรือคำอธิบาย เมื่อทำเรื่องแย่ ๆ : “ฉันทำตามหน้าที่”, “ถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็ทำ”, “เบื้องบนสั่งมา ไม่ทำไม่ได้”, “เราต้องเคารพคำสั่ง”, “มันเป็นประเพณีของโรงเรียนเรา” ฯลฯ
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดฝังในยีนของเราทุกคน แต่จุดหนึ่งที่ทำให้เราต่างจากสัตว์อื่น ๆ อยู่ที่เราพัฒนามโนธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และเราพัฒนาสังคมให้ทุกหน่วยมีเจตจำนงอิสระมากเท่าที่จะมีได้ เรามีเจตจำนงอิสระที่จะทำดีหรือทำชั่ว
ไม่ช้าหรือเร็ว เราแทบทุกคนก็ต้องผ่านการทดลองกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้า จะเลือกกดปุ่มหรือไม่กดปุ่มอยู่ที่เรา
เราทุกคนมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนเป็นปิศาจได้ก็จริง แต่หากเราเลิกเชื่อว่าเราสามารถเลือกทำดีทำชั่วได้ เลือกที่จะมีความสุขได้ ชีวิตของเราจะเหลือคุณค่าอะไร?
มนุษย์อาจเป็นสัตว์ที่อ่อนแอโดยสันดาน แต่หากเราใช้เหตุผลนี้เป็นข้อแก้ตัวว่าเราอ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อต้านอำนาจเบื้องบนที่เลวร้าย ก็เป็นเพียงคำแก้ตัวแบบน้ำขุ่น ๆ เพราะประวัติศาสตร์มีตัวอย่างคนมากมายที่ปฏิเสธกระทำตามคำสั่งเลวร้าย
เราสามารถเลือกได้…
อย่างน้อยที่สุด 35% ของกลุ่มตัวอย่าง The Milgram Experiment ก็เลือกเดินออกจากห้อง ปฏิเสธที่จะกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าไปทำร้ายคนอื่น
เขียนเมื่อเดือนมีนาคม 2556
ตีพิมพ์ในหนังสือ ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว
http://www.winbookclub.com/shoppingdetial_forEbook.php…
ที่มา : เฟซบุ๊ก วินทร์ เลียววาริณ