ไปเรียนโง่กลับมา!’ทิวา’อัดแรง พวกล้างสมองเด็กด้วยปวศ.ฝรั่งเศส ชี้คนละยุคคนละสมัย

0

พวกเวรตะไล!! ‘ทิวา’อัดพวกล้างสมองเด็ก ชี้ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสเอามาเทียบไม่ได้ ได้เป็นมหาอำนาจเพราะแค่ร่วมตั้งยูเอ็น

ทิวา สาระจูฑะ บก.นิตยสาร สีสัน เจ้าของรางวัลดัง “สีสัน อวอร์ด”  โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Tiva Sarachudha ถึงสถานการณ์บ้านเมืองอย่างน่าสนใจว่า

“ข้อเขียนชิ้นนี้ ผมเขียนและโพสต์ไว้เมื่อเดือนมิถุนายน 2557 พอดีนึกได้เลยเอามาโพสต์อีกที แก้ไขบ้างเล็กน้อยให้กระชับขึ้น แต่ยังคิดเหมือนเมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องชีวิตเด็กๆที่ต้องเสี่ยงต่อการสูญเสียไป

ผมไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์, นักปรัชญาการเมือง, นักวิชาการผู้สามารถทำให้ลูกศิษย์ลุ่มหลงงมงาย หรือพวกเพ้อเจ้อโกหกตัวเองและคนอื่นไปวันๆว่ารู้ลึกรู้จริง

แต่กำลังเกิดอารมณ์หมั่นไส้กับการที่เอาประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสมาอ้างเพื่อเทียบกับประเทศไทยในยุคนี้ โดยเฉพาะในเรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 ทั้งๆที่เป็นคนละยุคคนละสมัย และวิถีประพฤติปฏิบัติของสถาบันกษัตริย์ก็แตกต่างกัน เท่าที่จำได้ในกะโหลกอันแคบเล็กและเหลือเส้นผมติดหัวน้อยลงทุกที ฝรั่งเศสก็เป็นหนึ่งในพวกล่าอาณานิคมเบอร์ต้นๆของโลกในยุคโบราณ เช่นเดียวกับสเปน, อังกฤษ, โปรตุเกส และฮอลแลนด์ ร่ำรวยจากการยึดครองแผ่นดินอื่น

ตั้งแต่รัชสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มาจนถึงรัชกาลที่ 4-5 ต้องช่วยกันคิดหาวิธีปกป้องประเทศไทยจากเงื้อมมือฝรั่งเศส ส่งทูตไปทำสัมพันธไมตรีบ้าง ส่งลูกหลานไปร่ำเรียนเพื่อเอาความรู้มาตั้งรับแบบรู้เท่าทันมันบ้าง แต่ก็มีพวกเวรตะไลบางกลุ่มเลือกที่จะหยิบเอามาบางส่วนป้อนใส่สมองเด็กๆ

จริงอยู่ที่ฝรั่งเศสเอาความรู้หลายอย่างมาให้ประเทศด้อยพัฒนา แต่ถึงไม่เอามาให้ โลกก็ต้องเปลี่ยนอยู่ดี และการเข้ามาทำโน่นทำนี่ก็เพื่อกันท่ามหาอำนาจอื่นๆ ยิ่งกว่านั้น การให้ก็ไม่ใช่ไม่มีข้อแลกเปลี่ยน มันเอาหนักกว่าที่ให้หลายร้อยหลายพันเท่า

ฝรั่งเศสยุคหลังแทบไม่มีท่าอะไร ของที่ขายได้ของตัวเองแท้ๆก็แค่แฟชั่น, น้ำหอม, จริตจก้านแบบฝรั่งเศส, การท่องเที่ยว, แนวลัทธิการปกครอง-กฎหมายที่แห่ไปเรียนเอาโง่กันกลับมา ได้เป็นมหาอำนาจก็เพียงเพราะมีส่วนร่วมในการก่อตั้ง สหประชาชาติ ในฐานะสัมพันธมิตรผู้ร่วมรบชนะสงครามโลก มั่วๆไปเรื่องฟุตบอลล์ก็ได้ ถ้าเอาคนฝรั่งเศสแท้ๆคงไม่มีปัญญาได้แชมป์ฟุตบอลล์โลกปี 1998 นักฟุตบอลล์ตัวหลักๆเป็นเทือกเถาเหล่ากอจากไหนล่ะ ซีดาน-อัลจีเรีย, จอร์เกฟฟ์-อาร์มาเนีย, เดอไซล์ยี่-กาน่า, วิเอร่า-เซเนกัล, อองรี กับ ตูราม-หมู่เกาะคาริบเบียน, เทรเซเกต์-อาร์เจนติน่า ฯลฯ

ฉลองกันครึกโครมก็พวกผิวสีทั้งนั้นที่ทำให้ได้แชมป์ ความเย่อหยิ่งแบบฝรั่งเศสกลายเป็นเรื่องหน้าด้านไปแล้ว

อัล สจ๊วร์ท ยอดนักร้อง-นักแต่งเพลงโฟล์ค-ร็อคชาวสก็อตต์ที่โด่งดังจากเพลง “Year Of The Cat” (1976) เคยแต่งเพลงไว้เพลงหนึ่ง ชื่อ “The Palace Of Versailles” อยู่ในอัลบั้ม Time Passages (1978) ของเขา

เพลงนี้ สจ๊วร์ท สะท้อนเรื่องราวในยุคปฏิวัติด้วยมุมมองของเขา พูดถึงการทลายคุกบาสตีล์ล การขับไล่ราชวงศ์จากพระราชวังแวไซล์ล ในนามของ มักซิมิเลียง โรสบิเอร์ แห่งกลุ่มจาโคแบง มีชื่อของ ฌอง-ปอล มาราต์ นักเขียนหัวรุนแรง และ นโปเลียน รวมอยู่ในเพลงด้วย

หลังยุคราชวงศ์กลายเป็นยุคสมัยแห่งความหวาดกลัว มีคนถูกฆ่าราว 4 หมื่นคน แล้ว นโปเลียน ก็กลับมากระทืบพวกจาโคแบงซ้ำ (ไปหาอ่านละเอียดเอาเอง)

ผมไม่รู้ว่า อัล สจ๊วร์ท มองเห็นภาพอะไร แต่เขาเขียนถึงความไม่สมบูรณ์ในการปฏิวัติฝรั่งเศส เหลือเพียงเรื่องเล่าในคาเฟ่กับไวน์แดงราคาถูก

ปกติผมไม่ค่อยอยากเขียนยาว เพราะอยากเก็บพลังไว้ใช้ในงานอาชีพ และผู้ชำนาญการ เฟซบุ๊ค บอกว่า เขียนยาวคนไม่ค่อยอ่าน แต่ไม่เป็นไร งานนี้ผมเขียนด้วยอารมณ์ ข้อมูลผิดถูกไม่สนใจ และไม่ต้องมีใครเสือกมาแย้งหรือโต้ตอบ เพราะกูจะไม่ฟัง เหมือนที่พวกมึงไม่ฟังใครเหมือนกัน

ถ้าเชื่อกันว่าปัญญาประดุจดังอาวุธ ไอ้พวกครูบาอาจารย์เฮงซวยทั้งหลาย ก็เลวไม่น้อยกว่ามาเฟียที่ยัดปืนใส่มือเด็กไม่บรรลุนิติภาวะ แล้วสั่งให้ไปยิงหัวใครก็ได้เพื่อจะได้เข้าแก๊ง

และถ้าเด็กจะเป็นจะตายก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของพวกมัน”