“อาจารย์สุวินัย” ซัดพวกคลั่งหนีความจริง แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้เอาแต่โทษสถาบันฯ เหน็บเจ็บกลุ่ม “เพนกวิน” พ่ายแพ้ กลายเป็นหมาหัวเน่าซะแล้ว

0

จากกรณีเวลาประมาณ 22.40 น. ภายหลังการชุมนุมจบลงเมื่อค่ำคืนวันที่ 16 ส.ค. 63 ที่ผ่านมานั้น แกนนำคณะประชาชนปลดแอก ทั้ง 30 คนเดินเท้าไปพร้อมมวลชน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์

โดยแกนนำชี้แจงว่าพวกตนเห็นจากข่าวว่ามีรายชื่อจึงเข้ามาแสดงตัวที่สน. แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แสดงหมายจับ พร้อมกล่าวยืนยันว่าเข้ามาแสดงตัว ไม่ได้เข้ามามอบตัว

ทั้งนี้ แกนนำเรียกร้องให้ตำรวจนำหมายจับ พร้อมรูปถ่ายใบหน้าเเต่ละคนมาเเสดง แต่ตำรวจเพียงอ่านรายชื่อ ทำให้เเกนนำไม่พอใจ และเจรจาประมาณ 10 นาที กระทั่ง นายอานนท์ นำภา จึงพาเเกนนำทั้งหมดออกมาถอยกลับ ขณะที่เเกนนำบางคนตะโกนบอกว่าวันนี้อุตส่าห์มาถึงที่นี่เเล้ว ถ้าไม่จับก็อย่าตามไปจับที่มหาวิทยาลัยเพราะพวกตนจะเอาเวลาไปเรียนหนังสือ

 

ล่าสุดอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า บางครั้ง “การคลั่งการเมือง” ก็คือ รูปแบบของ escapism (หนีความจริง) อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการหลบหนีการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของชีวิตที่เป็นทุกข์และโหดร้ายอย่างตรงไปตรงมา แทนที่จะสู้ชีวิตและแก้ปัญหาชีวิตของตัวเองอย่างจริงจัง โดยไม่พยายามไปโทษคนอื่น โทษรัฐบาล หรือแม้กระทั่งโทษสถาบันฯ

ความจริงก็คือ ไม่มีใครหนีเงาตัวเองได้ตลอดกาล ทุกข์ย่อมติดตามคนเราดุจเงาตามตัว จนกว่าคนนั้นจะชำระจิตให้บริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยการทำความรู้ตัวได้บ่อย ๆ เสมอ ละครชีวิตของตัวตนมักจะซ้ำรอยเสมอครับ แค่เปลี่ยนฉาก เปลี่ยนยุคเท่านั้นเอง

 

นอกจากนี้ยังระบุเพิ่มเติมด้วยว่า การช่วยถอดชนวนระเบิดของการชุมนุมเมื่อคืน สุวินัย ภรณวลัย

การชุมนุมเมื่อคืนของม็อบ “ประชาชนปลดแอก” ในมุมหนึ่งคือ #การช่วยถอดชนวนระเบิดอันเนื่องจาก “ข้อเสนอ 10 ข้อ” ของกลุ่มเพนกวินนะ

ผมขอไม่เรียกกลุ่มเพนกวินว่า “กลุ่มเยาวชนปลดแอก” อีกต่อไปแล้ว เพราะ

(1) กลุ่มเพนกวินถูกยึดการนำไปแล้วจากม็อบเมื่อคืนที่ลดข้อเรียกร้องเหลือแค่ 3 ข้อดังเดิม
แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ “ข้อเสนอ 10 ” ของกลุ่มเพนกวินที่มุ่งลดพระราชอำนาจกับมุ่งควบคุมสถาบันกษัตริย์แบบเบ็ดเสร็จ

(2) ซึ่งไม่มีฝ่ายไหนแม้แต่ฝ่ายค้าน รวมทั้งม็อบประชาชนปลดแอกเมื่อคืนกล้าเอาด้วย

(3) พอเป็นแบบนี้ สิ่งที่เป็น Paradox จึงเกิดขึ้นเมื่อคืน คือฝ่ายค้านรัฐบาลที่ออกมาชุมนุมเมื่อคืนในจำนวนร่วมหมื่นคนโดยมีมวลชนแดงกับมวลชนส้มเป็นหลัก และมีการพูดถึงข้อเรียกร้องเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่หลากหลายบนเวทีชุมนุม … มาช่วยลดดีกรีความร้อนแรงของการเผชิญหน้ากันเรื่องสถาบันฯอย่างฮวบฮาบ แบบไม่ต่างกับการเทน้ำราดรดกองไฟจากพวกเดียวกัน

(5) สังคมไทยมักมีเรื่องคาดไม่ถึงและจบลงอย่างหักมุมเสมอ ผมมองว่านี่คือรูปแบบของ “ความอดกลั้น”ในแบบไทย ๆ #ฝ่ายค้านสามารถรักษาขุมพลังส่วนใหญ่เอาไว้ได้ สามารถหลีกเลี่ยงการบานปลายที่อาจนำไปสู่การรัฐประหารครั้งใหม่ได้

(6) นี่คือผลลัพธ์แบบวิน-วินขึ้นที่เกิดแล้วเมื่อคืนนี้ และถือเป็น ‘ชัยชนะ’ ของสังคมไทยโดยรวมได้ … #ผมโล่งอกนะที่ผลออกมาแบบนี้

(7) “กลุ่มประชาชนปลดแอก” จึงไม่น่าจัดชุมนุมยืดเยื้อบนถนนอีก ถ้าพิจารณาจากข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่ขัดแย้งกันเองระหว่างข้อเรียกร้องยุบสภากับข้อเรียกร้องแก้รัฐธรรมนูญ

(8) คนที่จะอ่วมหลังจากนี้ คือเพนกวินและสหายซึ่งคงจะโดนคดีจนอ่วมอันเนื่องมาจาก “ข้อเสนอ 10 ข้อ ” ที่มุ่ง “ล้มสถาบันฯ” …. บัดนี้ กลุ่มเพนกวินกลายเป็น “กลุ่มหมาหัวเน่า”ในสังคมนี้ไปแล้ว … ใครก็ตามที่ยังพยายามผลักดันชุดความคิดล้มเจ้าตามข้อเสนอ 10 ข้อนี้น่าจะโดนแจ้งความดำเนินคดีตามกฏหมายเป็นรายตัวอย่างเฉียบขาด

(9) กลุ่มอาจารย์ 105 คน (เพิ่มเป็น 357 คนในภายหลัง) ที่ออกมาหนุนกลุ่มเพนกวินในตอนแรกๆ ก็ถือว่าพลาดอย่างแรงพอๆกับเพนกวิน … จึงควรถูกสอบทางวินัยเป็นรายตัว เพราะกลุ่มอาจารย์กลุ่มนี้ก็โดนพวกเดียวกัน ‘เท’ ทิ้งเช่นกันเหมือนกับกลุ่มเพนกวิน

(10) #ละครตลกร้ายเรื่องเพนกวินและอานนท์ปิดฉากไปแล้วเมื่อคืน ปัญหาเศรษฐกิจอันเนื่องจากวิกฤตโควิดกำลังรอทุกคนอยู่ … วิกฤตเศรษฐกิจนี้ต่างหากคือวิกฤตของจริงและเร่งด่วน