เอาแล้ว! ปิยบุตร เตรียมจัดเสวนาร้อน ก่อนการชุมนุมครั้งใหญ่ของเยาวชนปลดแอก หัวข้อต้องจัดตา ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ยัง ย้ำ 10 ข้อเรียกร้องไม่ใช่การล้มล้างสถาบัน!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองอุณหภูมิไต่ระดับต่อเนื่อง หลังกลุ่มเยาวชนปลดแอกประกาศชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง วันที่ 16 ส.ค.นี้
ล่าสุด นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เปิดบรรยายสาธารณะพิเศษ “ชวนสนทนาว่าด้วย ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”สถานที่ อาคารไทยซัมมิท ชั้น 5 ซึ่งเป็นสถานที่ทำการเดิมของอดีตพรรคอนาคตใหม่
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา แฟนเพจเฟซบุ๊ก คณะก้าวหน้า – Progressive Movement นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ร่วมกันจัดรายการ “ก้าวหน้า Talk” โดยเป็นการพูดคุยถึงประเด็นร้อนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกรณีการชุมนุมของประชาชน นิสิต นักศึกษาที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ และกำลังจะมีการชุมนุมใหญ่ ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคมนี้
โดยนายปิยบุตร กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้น มองว่าเป็นกลวิธีหรือเทคนิคในการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อจำกัดเสรีภาพประชาชน โดยตั้งข้อหาให้มาก ออกหมายจับให้มาก แล้วเลือกจับทีละนิด ทีละคน เพื่อให้การชุมนุมค่อยๆ อ่อนกำลังลงไป ทั้งนี้ ในการจับทนายอานนท์ นำภา และนาย ภานุพงศ์ จาดนอก เยาวชนระยอง ซึ่งล่าสุดศาลอาญาออกหมายเรียกไต่สวน วันที่ 3 กันยายน ฐานฝ่าฝืนเงื่อนไขประกันที่ห้ามทำผิดซ้ำเดิม ซึ่งกรณีนี้ก็มีปัญหาทางกฎหมายอยู่มาก เช่น เมื่อส่งตัวศาลบอกให้ตำรวจกลับไปทำสำนวนใหม่
ซึ่งทนายบางท่านบอกว่า ตาม ม.68 ป.วิอาญา ทำให้หมายจับนั้นสิ้นสภาพไปแล้ว ต้องไปขอศาลเพื่อออกหมายจับใหม่ หากแต่ตำรวจก็ยืนยันว่ามีอำนาจในการควบคุมตัวอยู่ นอกจากนี้เมื่อส่งศาลอีกรอบ และศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีเงื่อนไขว่า ห้ามไปกระทำผิดซ้ำอีก ปัญหาคือ นี่เป็นเพียงการตั้งข้อกล่าวหาในชั้นเจ้าพนักงานสอบสวนเท่านั้น รัฐธรรมนูญรับประกันว่าทุกคนบริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากพา น่าแปลกใจว่า แล้วศาลตั้งเงื่อนไขการประกันตัวแบบนี้ได้เหรอ ถ้าตั้งเงื่อนไขว่าห้ามไปกระทำความผิดซ้ำ นั่นหมายความว่าในสายตาของศาลมองว่าเขากระทำผิดแล้วเหรอ ท้้งๆ ที่ยังเป็นข้อกล่าวหาอยู่
นอกจากนี้ นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ตอนนี้ จุดตัดสำคัญคือการชุมนุม มธ.รังสิต ที่มีการปราศรัยยื่นข้อเสนอเพิ่มเติม 10 ข้อ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาเกี่ยวสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยต่อมาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่สบายใจ กังวลว่าสถานการณ์จะไปสู่ความรุนแรง ตนอยากเชิญชวนพิจารณาว่าแยกแก่นกับกระพี้ออกจากกัน คือ 10 ข้อเสนอนั้น ส่วนเนื้อหาเรื่องหนึ่ง และส่วนลีลาท่าทางการอภิปรายนั้นอีกเรื่องหนึ่ง คิดว่าหลายท่านที่ไม่สบายใจเป็นเรื่องท่าทีบนเวทีและการแสดงออกบางอย่างบนเวที แต่นั่นเป็นเพียงรูปแบบ ไม่ควรเอามาทำลายเนื้อหา ไม่ควรเอามาบิดผันว่าเขามีพฤติกรรมและทัศนคติล้มล้างสถาบัน
เพราะเมื่อดูรายละเอียดทั้ง 10 ข้อเสนอเพิ่มเติมนั้น ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าเป็นเรื่องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเพียงการแก้กฎหมายที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น ไม่ได้พูดเรื่องว่าประเทศไทยจะกลายเป็นสาธารณรัฐ แต่ยืนยันว่าประเทศไทยจะยังเป็นราชอาณาจักรอยู่ต่อไป ยังมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสืบทอดทางสายโลหิตอยู่ต่อไป และเท่าที่ฟังข้อเสนอเหล่านี้ เขาก็พูดชัดว่าต้องการทำเพื่อธำรงสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงอยู่คู่กับประชาธิปไตย นี่คือแก่น ส่วนการที่ไม่สบายใจในรูปแบบท่าทีบนเวที ก็ต้องใช้วิธีอื่นตักเตือนหรือเชิญมาพูดคุย ไม่ใช่กวาดล้างปราบปราม