“ถอยคนละก้าว”: อาการ “กระอักกระอ่วน” ของ ธนาธร / สุวินัย ภรณวลัย และเวทิน ชาติกุล

0

จากที่วันนี้(15ส.ค.63) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย ได้โพสต์บทความถึงสถานการณ์ทางการเมือง การชุมนุม โดยมีตัวละครหลายคนเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการเขียนร่วมกับ ดร.เวทิน ชาติกุล ผู้อำนวยการสถาบันทิศทางไทย ทั้งหมดมีเนื้อหาว่า

… ธนาธรกับปิยบุตรเป็นคนช่วยกันสร้าง ‘ปีศาจ’จำนวนมากขึ้นในสังคมไทยเพื่อสนองตัณหาทางการเมืองและอุดมการณ์ของตนเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ปวิณกับสมศักดิ์เจียมจะขโมย “ตะเกียงวิเศษ” ใบนี้ของธนาธรไปเสียแล้ว ….

และตอนนี้ธนาธรกำลังดิ้นรน “หาทางลง” ให้กับตัวเอง โดยไม่ยอมร่วมหัวจมท้ายพังไปพร้อมๆกับม็อบเยาวชนปลดแอก

14​ สิงหาคม​ 2563​ เดลินิวส์นำเสนอข่าว​ ธนาธรขอเป็นคนนำหลีกเลี่ยงการนองเลือด​ อาสาคุยกับนักศึกษา

เนื้อหาบางส่วน​ ธนาธร​ กล่าวว่า​ “การที่มีอาจารย์และดารา​จำนวนมากออกมาสนับสนุนนักศึกษา​แสดงว่าไม่เสียแนวร่วม” และ “คนที่ตื่นแล้วและต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงมีจำนวนมากเกินกว่าที่รัฐจะเข้าไปจัดการ”

จึงเป็นเหตุผลว่า​ รัฐต้องเปิดพื้นที่ให้พูดคุยเรื่องนี้กับอย่างเป็นสาธารณะเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด​

ที่น่าสนใจคือ​ ตอนท้ายข่าวมีการให้ผู้อ่านได้แสดงความเห็นต่อข่าวชิ้นนี้​ จากจำนวนผู้อ่าน​ 27,732 คน​ มีผู้ไม่เห็นด้วยกับข่าวนี้ถึง 73%

ซึ่ง​ประเด็นอยู่ที่​ ตัวเลขนี้​แปลว่าอะไร?

เบื้องต้นก่อน​ ธนาธรมีสมมุติฐานว่าข้อเสนอ10 ข้อของนักศึกษาทำให้ไม่เสียแนวร่วมและคนที่ตื่นแล้วมีเป็นจำนวนมาก​ ขัดแย้งกับ​ จำนวนเปอร์เซ็นต์​ของความรู้สึกที่เห็นด้วยอย่างแน่นอน

ซึ่งอาจแปลว่า​ คนที่ไม่ต้องการเห็นการท้าทายต่อต้านสถาบันฯของนักศึกษายังมีอยู่มากกว่าคนที่ตื่นแล้วและแนวร่วมอาจารย์​ ดารา​ ก็ได้

หรือ​ อาจแปลว่า​ คนอ่านไม่เห็นด้วยกับธนาธรที่จะเป็นคนนำหลีกเลี่ยงการนองเลือด​ ก็ได้​ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้​ ก็อาจมีความเป็นไปได้ย่อยๆอีก​ 2​ แบบ​ คือ​

1)คนอ่านอาจไม่เชื่อที่ธนาธรพูด​ (ซึ่งแสดงว่า​ สมมุติฐานของธนาธร​ผิด)​ หรือ​

2) คนอ่านอาจเชื่อ​ (ถ้าสมมุติฐานของธนาธรถูก)​แต่ไม่อยากเห็นธนาธรนำหลีกเลี่ยงการนองเลือด​ หรือง่ายๆก็คือ​ คนอ่านพร้อมที่จะนองเลือด​ ธนาธรไม่ต้องมาห้าม

ซึ่งถ้าอันที่สองเป็นจริง​ ก็เป็นอะไรเป็นอื่นไม่ได้นอกจากการส่งสัญญาณว่า​ ธนาธร​ จึงรุ่งเรืองกิจ​ ไม่ว่าจะในฐานะอะไรกับขบวนการปลดแอกก็สุดแล้วแต่​

#กำลังสูญเสียภาวะการนำ​ ลงไปเรื่อยๆ

สิ่งนี้ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้​ ด้วยเหตุผล

1.​ หลังจากนักศึกษายื่นข้อเสนอ​ 10​ ข้อ​ แล้วเจอกระแสสังคมกดดันอย่างหนัก​ จนเหล่า​ 357​ อาจารย์ต้องรีบออกแถลงการณ์มาปกป้อง​ 3​ วันระหว่างนั้น​ ธนาธร​ เงียบ​ ผิดสังเกต​ (จน​ เปลว​ สีเงิน​ ถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า​ ธนาธร​ ออกมาพูดครั้งนี้แบบ​กระมิดกระเมี้ยน)​ ผิดกับ​ ครั้งก่อนๆที่จะรีบออกมารับลูกอย่างจริงจัง​ในทันที

2.​ คำพูดของ​ ธนาธร​ ล่าสุด​ แม้จะเจตนาหนุนช่วยนักศึกษาปลดแอก​ มีนัยที่ต่างออกไปจากครั้งก่อน​ เพราะธนาธร​ (“หลุด”?)​ พูดออกมาว่า​ “มีข้อเสนอบางข้อ​ มีความสุ่มเสี่ยง…ทำให้คนบางกลุ่ม​ไม่สบายใจ” และ​ย้ำว่า ต้องแยกออกระหว่าง​ “เนื้อหา” กับ​ “ท่าที” ที่บ่งชี้โดยนัยว่า​ ธนาธร​ กำลังสะท้อนว่า​ “ท่าที” ของนักศึกษานั้นไม่เหมาะสม​ ซึ่ง​น่าสังเกตว่า​นัยเชิงลบต่อ10ข้อเรียกร้อง​เหล่านี้ไม่ปรากฏแม้ในแถลงการณ์ของ​ 357​ อาจารย์​ หรือ​ จดหมายเปิดผนึกของปิยบุตร​ ที่ยืนกรานว่าสิ่งที่นักศึกษาทำทั้งหมดเป็นเรื่องถูกต้อง​ และที่สำคัญ​ ที่ผ่านมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง​ ธนาธร​ไม่เคยพูดในลักษณะนี้มาก่อนเลย​

หรือ​ ธนาธร​ ในฐานะ​ “ไอดอล” ผู้นำของฝ่ายประชาธิปไตย​ จะรับไม่ได้กับภาพ (ที่ผิดกฎหมาย​ม.112)​ ของ​ “สมศักดิ์​ เจียมฯ” ​ และ​ “ปวิณ” ที่โชว์หราบนเวทีราคา​ 1.2​ ล้านที่ลานพญานาคในคืนนั้น

ธนาธร​ ลงมาเล่นการเมือง​ด้วยอุดมการณ์ (ที่อันตราย)​ ทุ่มเททรัพยากร​ หมดเงิน​ หมดทอง​ หมดเวลา​ หมดกำลัง​ ไม่รู้เท่าไหร่​ ในการสร้างกระบวนการและขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นไปตามความเชื่อความคิดของตน​ ธนาธร​ทำเรื่องนี้อย่างมียุทธศาสตร์​ มียุทธวิธี​ มีจัดตั้ง​ แนวร่วม​ เครือข่าย​ กลไกสื่อนิวมีเดีย​ ที่ต้องอดทนใช้เวลากว่าที่จะเห็นขบวนการเด็กปลดแอกออกมาได้ขนาดนี้​ ไม่นับว่าต้องตกเป็นเป้าโดยเปิดเผยของอีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย​ เผชิญอุปสรรค​ แรงเสียดทาน​และการดำเนินการต่างๆอย่างหนักหน่วง​ ถูกยุบพรรค​ มีสิทธิ์ติดคุก​ องค์กรธุรกิจของครอบครัวที่เป็นเสาค้ำยันการเคลื่อนไหวของตนอาจต้องเผชิญมรสุมใหญ่อย่างที่ไม่เคยเจอ

ส่วน​ สมศักดิ์​ เจียมฯ​ กับ​ ปวิณ​ นั้นไม่มีอะไรที่จะต้องเสีย​ ตัวเองหนีไปต่างประเทศ​ คอยปั่นหัวเก็กฝ่ายโซเซียล​ อำนาจรัฐจะไปจัดการก็ยาก​ สมศักดิ์​ เจียมฯแม้อยากเปลี่ยนแปลง​ แต่สภาพนอนเป็นผัก​ ได้แค่กระพริบตามอง​ฝันว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนตาย ขณะที่ปวิณนั้นไม่ต้องพูดถึง​ไม่ได้สนใจยุทธศาสตร์​ ยุทธวิธีอะไรทั้งนั้นของธนาธร​ ขอเพียงได้​ ด่า​ ด่า​ และ​ ด่า​ สถาบันฯ​ สนองความคลั่งแค้นของตัวเองเท่านั้น

ถ้าธนาธร​ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับขบวนการปลดแอก​ ความแตกต่างระหว่าง​ เนื้อหา​ และ​ ท่าที​ ของนักศึกษาย่อมไม่มี​ และต้องถือว่าเป็นเรื่องดีด้วยเพราะหนุนรับกับอุดมการณ์ของตนเมื่อเห็นความศรัทธาต่อสถาบันฯถูกกร่อนแซะทำลายไปเรื่อยๆ

แต่ธนาธร​กลับ​ กระมิดกระเมี้ยน​ ละล้าละลัง​ อย่างผิดสังเกต​ หลังวันที่​ 10​ สิงหาคม​ และสอดรับกับ​แถลงการณ์ของประชาชนปลดแอก​ ที่กลับมาเน้นข้อเสนอ​ 3​ ข้อเดิม​ (ยุบสภา, หยุดคุกคาม​ และ​ แก้รัฐธรรมนูญ)​ และ​ ยุบข้อเสนอ​ 10​ ข้อ​ เหลือเพียง​ 1​ ความฝัน​ (ที่อาจเป็นจริงได้)​ เท่านั้น

อย่าคิดว่า​ ธนาธร​ จะถอยไม่เป็น​ เพราะแม้จะมุทะลุเพียงใด​ แต่ในยามที่ตัวเองอ้างว้างโดดเดี่ยว​ ใกล้ตายอยู่บนเรือพายคนเดียวกลางอ่าวไทย​ ธนาธร​ ก็เพรียกหาและดีใจที่มีคนมาช่วย​ นั่นไม่ต้องพูดถึงว่า​ ธนาธร​ เป็นนักธุรกิจแบบทักษิณ​ จะไม่เสี่ยงถ้าต้องทำให้ผลประโยชน์ของตัวเองฉิบหายลงไปต่อหน้าทั้งหมด

คำพูด​และท่าทีแบบ “ถอยคนละก้าว” ของธนาธร​ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าสะท้อนถึง​ “ความกระอักกระอ่วน” ของตน​ ซึ่งไม่ใช่ความกระอักกระอ่วนที่ตนเองพูดไม่ได้หรือไม่กล้าพูดเรื่องสถาบันฯ​

แต่เป็นความ​ “กระอักกระอ่วน” ที่กำลัง​ “หาทางลง” เมื่อเห็นว่า​ ทุกสิ่งที่ตัวเองทำมาทั้งหมดตลอดหลายสิบปี​กำลังพังพินาศลงไปต่อหน้าต่อตา​ เพราะเด็กๆที่เคยเชื่อตนเอง​กลับไปเชื่อเกย์แค้นเจ้าแบบไม่ลืมหูลืมตา​

และตัวธนาธรเองคงตระหนักแล้วว่าไม่มีอำนาจพอที่จะไปคุมเด็กๆเหล่านี้ได้อีกแล้ว

… ธนาธรกับปิยบุตรเป็นคนช่วยกันสร้าง ‘ปีศาจ’จำนวนมากขึ้นในสังคมไทยเพื่อสนองตัณหาทางการเมืองและอุดมการณ์ของตนเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ปวิณกับสมศักดิ์เจียมจะขโมย “ตะเกียงวิเศษ” ใบนี้ของธนาธรไปเสียแล้ว

ที่มา : เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai