“ดร.สุวินัย ภรณวลัย” ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย เผยแพร่บทความผ่านทางเฟสบุ๊คส่วน ถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 ของประเทศไทยและทั่วโลกอยู่ขณะนี้ ในหัวข้อ “ถอนอุปทานในจิตตน (Disillusioning) “ระบุว่า…
แม้ Distancing จะสำคัญก็จริงเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโควิด19 แต่ Disillusiong หรือการถอนอุปทานในจิตตนเอง สำคัญยิ่งกว่า
(1) ว่ากันว่าตอนที่แพทย์ได้บอกความจริงต่อคนไข้ว่าตัวเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสามเดือนเท่านั้น … ปฏิกิริยาแรกๆของคนไข้ส่วนใหญ่ คือ “ปฏิเสธแบบหัวชนฝา” เพราะยอมรับความจริงไม่ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งคนไข้จะเริ่มยอมรับ ‘ความจริงใหม่’ ของตัวเองในที่สุด
ตอนนั้นแหละที่คนไข้จะอยู่บนทางแพร่งให้เลือกว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร หรือจะเผชิญความตายด้วยทัศนคติเยี่ยงใด
(2) ปลายปี 2019 ผมได้มีโอกาสอ่านมังงะเรื่อง Survival (ต้องรอด) 18 เล่มจบ ของTakao Saito อีกครั้ง
อันที่จริง ผมเคยอ่านมังงะนี้แล้วตอนที่ตีพิมพ์เป็นตอนๆทุกอาทิตย์ในช่วงระหว่างปี 1976-1978 ขณะที่ผมกำลังเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น … มังงะนี้เป็นเรื่องราวการเอาชีวิตรอดเพียงลำพังของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง ที่อยู่ดีๆเกาะญี่ปุ่นทั้งเกาะก็จมหายลงไปในทะเล
อารยธรรมแบบมหานครที่เคยชินมาทั้งชีวิตล่มสลายภายในวันเดียว ทุกคนที่ยังไม่ตายจากมหาภัยพิบัติวันนั้น ต้องกลับมาใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบเพื่อให้อิ่มท้องไปวันๆ ความหวังอันริบหรี่ในชีวิตที่เหลือของเด็กหนุ่มคือความหวังที่จะได้เจอคนในครอบครัวอีกครั้งเท่านั้นเอง
(3) ในฐานะที่ผมเคยศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์มาตั้งแต่เมื่อสี่สิบห้าปีก่อน ปรากฏการณทางเศรษฐกิจในช่วงที่กำลังเกิด Pandemic (โรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วโลก) อย่างตอนนี้ซึ่งน่าจะอยู่นานถึง 24 เดือนเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมาก ชนิดที่เรียกได้เต็มปากเลยว่า “ในรอบ100 ปี มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
มิหนำซ้ำ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเซเปียนส์ (sapiens) ก็ว่าได้ที่เกิด Pandemic กับเศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในภาวะโลกภิวัฒน์ (globalization) สุดๆ จงอย่าไปหลงเชื่อนักคิด นักเศรษฐศาสตร์ หรือนักการตลาดคนไหนเป็นอันขาดที่พูดปลอบใจชาวบ้านว่า … อีกไม่กี่เดือน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจก็จะกลับมาเหมือนเดิม
ผู้คนที่ต่อต้านรัฐบาลโดยตะแบงมาตลอดในช่วงห้าหกปีที่ผ่านมาว่า “ชาวบ้านจะอดตายกันทั้งประเทศแล้ว” …. ขอแสดงความยินดีด้วยที่คำสาปแช่งตัวเองแบบเผาพริกเผาเกลือของพวกท่านกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้านี้ ผู้นำฝ่ายค้านที่เชิดชูวาทกรรม “ต้องแก้รัฐธรรมนูญก่อนเป็นอันดับแรก แล้วปัญหาบ้านเมืองทุกเรื่องจะแก้ไขได้หมด” ในช่วงที่ผ่านมา … ขออนุญาตใช้ไม้หน้าสามปลุกพวกท่านให้ตื่นจากการละเมอเพ้อพก
(4) ตลอดชีวิตที่ผ่านมากว่าหกสิบปีของผม ตัวผมไม่เคยเห็นธาตุแท้ที่เป็นดุจ “ปราสาททราย” ของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเท่ากับตอนนี้
แท้จริงแล้ว เศรษฐกิจทุนนิยม คือการแลกเปลี่ยนธุรกรรม (transaction) จำนวนมโหฬารตลอด 24 ชั่วโมงของผู้คนทั้งสังคมและทั้งโลก ที่ถักทอเป็นระบบเครือข่ายธุรกรรมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และดูดกลืนพลังงานกับพลังชีวิตของผู้คนทั้งหมดเอาไว้หล่อเลี้ยงตัว “ระบบบริโภคนิยม” ที่มีอำนาจเหนือรัฐใดๆในโลกนี้
สงครามทางกายภาพ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม พายุถล่ม การก่อการร้าย ฯลฯ ภัยพิบัติเหล่านี้ ส่งผลกระทบน้อยมากต่อ “ระบบบริโภคนิยม” ของเศรษฐกิจทุนนิยม
… ตรงกันข้าม สงครามและภัยพิบัติกลับเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจทุนนิยมเป็นอย่างดีด้วยซ้ำ โดยแทบเป็นส่วนหนึ่งในวัฏจักรของเศรษฐกิจทุนนิยมก็ว่าได้
แต่ Pandemic ต่างจากสงครามและภัยพิบัติเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง เพราะผลกระทบของมันโดยตรงคือ ไปทำให้ธุรกรรมส่วนใหญ่ในระบบบริโภคนิยมหยุดชะงักอย่างยาวนานเป็นสัปดาห์ เป็นเดือนๆ หรืออาจเป็นปี
ถ้าเปรียบเศรษฐกิจเป็นเหมือนร่างกายคน … pandemic ทำให้เลือด (กระแสเงินและกระแสธุรกรรม) ในร่างกายหยุดชะงัก หรือเหือดหายไปจากระบบ ผลที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ เนื้อเยื่อตามอวัยวะต่างๆทั่วร่างกายจะค่อยๆตายลงอย่างช้าๆ เพราะขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ
นี่เป็นกระบวนการล่มสลาย (meltdown) ทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นเป็นจุดๆตามองคาพยพ หรือตามอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย … มันเกิดขึ้นช้าๆและจะลามกว้างยิ่งขึ้นทุกที ส่วนที่จะหายไปก่อน คือพวกไขมันส่วนเกินที่พอกตามอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกาย (สินค้าบริการ สินค้าฟุ่มเฟือย และความบันเทิงที่ไม่จำเป็นต่อการมีชีวิตรอด) ส่วนที่ยังเหลืออยู่ได้จริงๆ คือ ส่วนที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานของคนยุคนี้ ซึ่งก็คือปัจจัย 4 และโทรศัพท์มือถือ (ไวไฟ อินเทอร์เน็ต)
(5) ถ้าพวกเราถอนอุปทานในจิตตนทิ้งออกไป แล้วมองเห็นอย่างที่ผมมอง ผมเชื่อว่าพวกเราจะได้ข้อสรุปร่วมกันว่า การกลับไปฟื้นฟูเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้คนทั้งประเทศไม่อดตาย อยู่รอดได้ จนกว่า Pandemic จะสงบไปเองในอีก 24 เดือนข้างหน้า คือทางออกและทางรอดที่แท้จริงของประเทศนี้ในตอนนี้
*******
(6) คำสอนเรื่องวิถีจิตของหลวงปู่พุทธะอิสระนั้นลึกล้ำยิ่งนัก
วิชาวิถีจิตเป็นวิถีแห่งวิปัสสนาปัญญา ที่ใจต้องรู้ชัดตามความเป็นจริง คือต้องรู้ให้เท่าทันตามสภาพธรรมที่ปรากฏกับจิตหรือเจตสิก (เครื่องปรุงจิต) ด้วยสติและปัญญาของผู้นั้น จิตสร้างกรรม โดยมีอุปทานเป็นตัวหล่อเลี้ยงกรรม อุปทานอยู่ในจิต มิใช่อยู่ในกรรม กรรมเป็นแค่สภาวะธรรมหนึ่งๆ
ขณะที่อุปทานเป็นอารมณ์ กรรมจึงเป็นผลแห่งจิต หรือเป็นวิบากที่เกิดจากจิต แต่อุปทานเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งของจิต มีอยู่ในจิต
ดังนั้นต่อให้ร่างกายสังขารนี้ตายไป อุปทานหาได้ดับตามไปด้วย และจิตก็ไม่ได้ดับตามไปด้วย เนื่องจากยังมีอารมณ์หล่อเลี้ยงจิตอยู่ แม้กายนี้จะดับสูญไปแล้ว
… แต่จิตจะไปสร้างภพใหม่ด้วยอำนาจแห่งกรรม โดยมีอารมณ์เป็นเครื่องมือสนับสนุน โดยที่อุปทานก็เป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง
สรุปได้ว่า คนตายแล้ว แต่จิตยังไม่ดับ เพราะมีอารมณ์ จึงทำให้เกิดจิต เพราะมีจิต จึงทำให้สร้างภพโดยที่อารมณ์ที่อยู่ในจิตนั่นแหละ ที่เป็นตัวสร้างภพ อุปทานเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้จิตนี้สร้างภพ
โดยที่อุปทานเกิดจากจิตที่ “รับแล้วก็จำ” ก็เลยเอามาสร้างความคิดที่เป็นอุปทาน จิตของอริยบุคคล จะเป็นจิตที่ไม่รับ ไม่จำ เพราะเป็นจิตที่เต็มเปี่ยมบริบูณ์แล้ว แต่จิตของปุถุชน เป็นจิตที่พร่องเสมอ จึงทั้ง รับ จำ คิด รู้
อริยบุคคลจึงมีแค่จิตรู้อยู่ รู้อยู่ รู้อยู่ โดยไม่รับ ไม่จำ ไม่คิด สุดทัายก็เลยกลายเป็น “มโนวิญญาณจิต” (มโนวิญญาณธาตุ ในอาการจิต 10 อย่าง) ซึ่งรู้แจ้งในอารมณ์ทั้งปวง ไม่มีอุปทานอีกต่อไป
ดับจิต คือการดับ’รับ’ ดับ’จำ’ และดับ’คิด’ แต่’รู้’ยังอยู่ เพราะ ‘รู้’ ก็เป็นตัวจิตชนิดหนึ่ง ดังนั้น ดับอารมณ์ ดับจิต และ ดับภพ จึงไม่ดับรู้