จากกรณีที่มีรายงานเปิดเผยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ระบุว่า ขณะนี้การจัดทำโผบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้บังคับการ (ผบก.) ผู้บัญชาการ (ผบช.) รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ประจำปี 2563 เสร็จเรียบร้อยแล้ว
โดยต่อมาทราบผลว่า ผบ.ตร.คนใหม่ คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข จะเป็นผบ.ตร.แทน บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 30 กันยายน 2563
ล่าสุด.นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 219/ 2563 เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมาให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร.ปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี กลับไปปฏิบัติราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) หลังจากก่อนหน้าเมื่อวันที่ 23 ม.ค. นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 22/2563 ให้ พล.ต.อ.วิระชัย เข้ากรุไปปฎิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่นั้น
แต่ปรากฏว่า ผบ.ตร.กลับมีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 387/2563 ลงวันที่ 29 ก.ค.63 ให้พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. ไปสำรองราชการ โดยอ้างว่า รอง ผบ.ตร. ซึ่งถูกกล่าวหา กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยมีพฤติการณ์และการกระทำเข้าลักษณะมีเจตนาเปิดเผยความลับของทางราชการ และฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งว่าด้วยการให้ข่าวสัมภาษณ์ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของตำรวจอย่างร้ายแรง
หลังมีเทปเสียงสนทนากันระหว่างเสียงที่คล้ายเสียง ผบ.ตร.กับ รอง ผบ.ตร. ถูกแอบบันทึกส่งต่อให้สื่อมวลชนเผยแพร่ หลังคดีคนร้ายลอบยิงรถ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีต ผบช.สตม.ที่ออกมาแฉทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องไบโอเมทริกซ์ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้อยู่ที่ ป.ป.ช.แล้ว กรณีดังกล่าวทำไมผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ถูกสำรองราชการบ้าง
กรณีการสั่งสำรองราชการ พล.ต.อ.วิระชัย ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่กำลังจะมีการพิจารณาแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งจะมาแทนที่ ผบ.ตร.คนเดิมที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่ง พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. ถือว่ามีอาวุโสสูงสุด หากพิจารณาจากเกณฑ์การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ พล.ต.อ.วิระชัย น่าจะได้รับการพิจารณาแต่งตั้งให้เป็น ผบ.ตร.คนใหม่แทนได้ ดังนั้นเพื่อสกัดการเข้าสู่ตำแหน่งดังกล่าว จึงเป็นเหตุที่มีพิรุธ
ทั้งนี้ ผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้ส่งเรื่องให้สำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม (บก.ป.) ดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.วิระชัย จึงถือได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่กรณีกับตนเองโดยตรง ดังนั้นในการสั่งสำรองราชการ พล.ต.อ.วิระชัย จะถือได้ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อีกทั้งการแจ้งความที่กองปราบนั้นผู้ถูกกล่าวหามีความผิดทางอาญาแล้วหรือไม่ การตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงโดยอ้างเหตุที่ถูกกล่าวหาในความผิดอาญา ทั้งๆ ที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาในความผิดทางอาญานั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
“ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมฯ จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะ ประธาน ก.ต.ช. และ ก.ตร. ในวันพุธที่ 5 ส.ค.เวลา 10.30 น. ณ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ทำเนียบรัฐบาล (ตึก กพร.เดิม) เพื่อระงับการพิจารณาแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ส.ค.นี้ไว้พรางก่อน จนกว่ากรณีข้อกล่าวหา พล.ต.อ.วิระชัย จะได้ข้อยุติ และเพื่อความเป็นธรรมอย่างไม่เลือกปฏิบัติ”