“สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” ประธานสถาบันทิศทางไทย กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 ของประเทศไทย ระบุว่า ความจริงวันนี้เพื่อนร่วมชะตากรรมของเราไม่น่าใช่เฉพาะขึ้นไทย แต่น่าจะหมายมวลมนุษยชาติทั้งมวล ทีกำลังเผชิญหน้ากับภัย สถานการณ์โควิด19
หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ประเทศไทยได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เลยมาเพียงอาทิตย์ มีมาตรการต่าง ๆ ในการกำจัดการเดินทางรณรงค์ให้อยู่บ้านปิดร้านอาหารสถานบริการต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผู้คนไปร่วมกันและเป็นที่เผยแพร่เชื้อ
อาจจะเป็นถ้อยคำตลกๆที่เผยแพร่ออกไปในโลกสื่อสาร นั้นก็คือ “ติดเชื้อแล้วโอกาสตาย 1-3% โอกาสจะติดเชื้อมี 50% โอกาสจะประสาทแดก 100% โอกาสไม่มีจะแดก 1,000%” ถ้อยคำตลกๆนี่ แต่บาดใจในความรู้สึกสำหรับคนที่ติดตามข่าวสารข้อมูลมาโดยตลอด
ไทยปิดเมืองเพียงแค่ 1 สัปดาห์ ผู้คนโอดครวญรับผลกระทบอย่างมากมายมหาศาล แต่มีความจำเป็นที่จะต้องปิด ดังนั้นผลกระทบที่กำลังได้รับกัน รอกเหนือจากแรงเหวี่ยงในแง่ของสุขภาพแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่รุนแรงมากแน่นอน
สนธิญาณย้ำว่า นี่เป็นแค่สัปดาห์แรก อาการที่เกิดขึ้นที่เรากำลังโอดครวญกันถ้วนหน้าเป็นอาการเผาหลอก เท่านั้น การประเมินของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสถานการณ์ขณะนี้น่าจะกินระยะเวลาออกไป เร็วสุดคือ 1ปีถึง1ปีครึ่ง ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นสหรัฐอเมริกาผู้ติดเชื้อใกล้แสนไปแล้ว กลายมาเป็นอันดับหนึ่ง ยุโรป และไม่ต้องนับอิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จำนวนผู้ติดเชื้อยิ่งมากออกไปเท่าไหร่ ธุรกรรมของมวลมนุษยชาติทั้งหลายก็ต้องสะดุดลง นั้นหมายความว่าธุรกิจการค้าจะต้องสะดุดลง ไม่ต้องนับเศรษฐกิจของโลกทั้งโลกว่าจะเป็นอย่างไร นี่เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ที่เราจะต้องตระหนักร่วมกัน ซึ่งมีหน้าที่ ที่จะต้องแบ่งกันทำ 2ส่วน ส่วนที่1 คือตัวเราเอง ส่วนที่2 คือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ นั้นก็คือนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ แบะเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ฝากฝั่งของผู้มีผู้มีหน้าที่แก้ปัญหาก็เดินหน้าไป ด้วยความเสียสละ ด้วยความตั้งใจ ผิดบ้างถูกบ้างก็ต้องช่วยกันนำเสนอ ใครมีความเห็นดี ๆก็ต้องนำเสนอไป อย่าด่า อย่าโจมตี อย่าเอาประเด็นทางการเมือง อย่าเอาควาทเกลียดชังส่วนตัวมาให้กลายเป็นประเด็น เราจะรอดพ้นไปได้อยู่ด้วยพลังแห่งสามัคคี พลังความรัก ความเมตตาที่มีต่อกัน นั่นคือหน้าที่ของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ
สำหรับผู้มีความรับผิดชอบ อย่างพล.อ.ประยุทธ์ วันนี้อำนาจทั้งหลายอยู่ในมือของนายกแล้ว ก่อนหน้านี้กฎหมายต่าง ๆ เป็นอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ หากทำดีอยู่ไปได้อีกนาน ประชาชนจะแซซองสรรเสริญ รักใคร่ นิยมยินดี แต่ถ้าทำไม่ได้ อยู่ไม่แน่นอนเพราะภาวะความเดือดร้อน ปัญหาต่าง ๆ มันเกินที่จะประเมิน เกินคาดคิด
ส่วนประชาชนสิ่งที่ต้องระวังป้องกัน คือ ไม่ให้ประสาทแดก ไม่ได้พูดคำหยาบแต่นี่คือสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นและจะเกิดอย่างแน่นอน แรงกดดันของอาการไม่มีจะกินมันจะยิ่งกดดันเพิ่มขึ้น ๆ สัปดาห์เดียวที่หยุด คนเป็นล้านที่ต้องหยุดในการทำงาน แล้วถ้าการแพร่ขยายเพราะเราไม่ร่วมมือกัน ยิ่งขยายออกไป ยิ่งไม่ต้องพูด ดังนั้นความหมายในการประกาศปิดเมือง เอาเฉพาะกรุงเทพ เพียงแค่20วัน ต้องใช้เงินมหาศาลเข้าไปช่วยดูแลแก้ไข และหากเป็นไปอีก1ปีตามที่มีการคาดการณ์ เราจะต้องปิดเมืองไปอีก6เดือน ซึ่งนั้นหมายความว่าอีก 24สัปดาห์ หรือรุนแรงไปกว่านั้น เป็น52สัปดาห์ อะไรจะเกิดขึ้น
ดังนั้นวันนี้จิตใจเราจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่เราจะต้องดูแล ตนเพียงแค่อยากถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองในการเฝ้าดูแลจิตใจตัวเองมาในระยะเวลา10-20ปีที่ผ่านมา เมื่อก่อนจะพยายามหาความสงบให้ตัวเอง ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีผู้คน บางครั้งถึงขนาดเดินธุดงค์ในป่า แต่ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ค้นพบว่าความสงบที่จะเกิดขึ้นนั้น ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ ไม่ได้อยู่ที่เสียงอึกทึกครึกโครมภายนอก แต่อยู่ภายในจิตใจของเราเอง เมื่อเราได้เข้าใจความเป็นจริงต่าง ๆที่เกิดขึ้น ว่าอะไรจะต้องเกิดขึ้น ในทางพระพุทธศาสนา ตอกย้ำตลอดมามรณสติ พระพุทธเจ้าสอนให้ระลึกตรึกถึงความตายทุกลมหายใจ ได้ยินคำสอนนี้บ่อยครั้งแต่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ตนคิดว่ามีอยู่น้อยมาก เพราะทันทีที่เราเข้าใจและระลึกถึงความตาย พ่อแม่ปู่ย่าตายาย บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่า ก็ตาย แท้จริงแล้ว เราทุกคนล้วนต้องตายไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ รวย จนก็ต้องตาย
ดังนั้นการพิจารณาความตายให้ปักลึกเข้าไปในใจ จะทำให้เราได้ค่อยพิจารณาผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเข้ามากระทบตัวเรา ว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรื่องใหญ่ที่จะต้องเตออย่างแน่นอนหลักเหลี่ยงไม่ได้ คือความตาย ทันทีที่จตกผลึกทุกอย่างรอบตัวจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา
“สรธิญาณ” กล่าวสรุปว่า วันนี้มีเท่าไหร่ เราก็จะพยายามกินเท่านั้น เอื้อเฟื้อดูแลคนข้างเคียงได้ เราจะเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน เพราะเมื่อเป็นผู้ให้จิตใจของพวกเราก็จะเบิกบานขึ้น รู้สึกได้ สังเกตเอาจากการให้เล็ก ๆ ที่ให้คนใสครอบครัว แต่ถ้าการให้นั้นขยายออกไป สังคมก็จะอบอุ่น จะรู้สึกตระหนักได้ความเชื่อมโยงสัมพันธ์แห่งความรัก ความเมตตา การฝึกให้รู้จักจิตใจตัวเองในเวลานี้คือเรื่องที่สำคัญที่สุด การแก้ไขปัญหา ทำมาหากินก็ทำกันไป รัฐต้องเข้ามาดูแลช่วยเหลือแต่ การดูแลช่วยเหลือกันเองสำคัญ และที่สำคัญที่สุดคือการดูแลจิตใจตัวเอง ไม่ว่าผลกระทบเท่าไหร่ก็ตามแต่ อย่ายอมให้เราเกิดอาการประสาทแดก