ล่อนจ้อน ภรรยาชาวฝรั่งเศสแรงผลักดันของปิยบุตร หากินบนแผ่นดินไทย แต่ไม่มีความเคารพใน 3 สถาบันหลัก

0

โลกออนไลน์ได้มีการแชร์บทความ  คอลัมน์อนาคตอันน่าเป็นห่วง ตอนนักศึกษากฎหมายจากฝรั่งเศส  โดยผู้เขียนใช้ นามปากกาว่า ตูแรนตูแรน โดยมีเนื้อหาพูดถึงสถานการณ์ทางการเมืองไว้อย่างน่าสนใจ ระบุว่า….

ปิยบุตร แสงกนกกุล  อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และอดีตเลขาธิการพรรค อนาคตใหม่ ผู้ที่เป็นที่ถูกจับตาและได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในโลกโซเชียลมีเดีย เนื่องจาก ความเป็นแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดไม่ปกติ ได้ร่วมกับเพื่อน อาจารย์อีก 6 คน จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อตั้ง “คณะนิติราษฎร์” มี ความคิดในแนวบั่นทอนสถาบันอันเป็นเสาหลักของประเทศชาติ เป็นผู้เสนอให้แก้ไขมาตรา 112 แห่งรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

การจะเข้าใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะต้องศึกษาจากประวัติ ธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ การจะเข้าใจ บุคคลใดบุคคลหนึ่งและแนวคิดของเขา ต้องศึกษาจากรากเหง้า วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของ บุคคลนั้นๆ ปิยบุตร จบการศึกษาจากฝรั่งเศส เป็นบุคคลจeพวกฝรั่งจ๋า เห็นอะไรที่เป็นฝรั่งเศส ก็ สรุปไว้ก่อนว่าดีไปหมด จนกระทั่งจะแต่งงานยังต้องเลือกสาวชาวฝรั่งเศส ถ้ากรีดเลือดออกมาดู น่าจะมีธงฝรั่งเศสลอยอยู่เต็มไปหมด

ปิยบุตรแต่งงานกับ เออเชนี เมรีโอ (Eugenie Merieau) ชาวฝรั่งเศส มีตำแหน่งเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2559 ที่โรงแรม Muse

เออเชนีเรียนด้านรัฐศาสตร์ กฎหมาย และภาษาศาสตร์ที่ปารีส จากสามมหาวิทยาลัย ได้แก่ Sciences Po, Sorbonne, INALCO ปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอนรัฐศาสตร์ หลักสูตรอินเตอร์เนชันแนลภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับกฎหมายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นอกจากการเป็นอาจารย์แล้วยังเป็นเกสต์ประจำให้รายการ “Divas Café” และ “Talking Thailand” ซึ่งเป็นรายการสองภาษาที่กำลังมาแรงของวอยซ์ทีวี และ เขียนบทความในนิตยสารฝรั่งเศสชื่อ Gavroche ซึ่งขายในประเทศ ฝรั่งเศสและประเทศที่พูดภาษาฝรั่งเศส ช่วยสมาคมภาษาฝรั่งเศสเขียน คอลัมน์เกี่ยวกับการเมืองไทย ได้สัมภาษณ์ ปิยบุตร แสงกนกกุล, รสนา โตสิตระกูล, Andrew Macgregor Marshall ที่สิงคโปร์, วิจักขณ์ พานิช, จอห์น-วิญญู

คนรู้ใจของปิยบุตรคนนี้เป็นต้นแบบของคนฝรั่งเศสแท้ๆ มีความคิดเป็นฝรั่งเศสเต็มตัว ซึ่ง น่าจะเป็นแรงผลักดัน และมีอิทธิพลเป็นอย่างมากให้แก่ปิยบุตร ด้วยประสิทธิภาพของสมองที่ดู จะด้อยกว่าภรรยา หลายๆ ครั้งจึงดูเหมือนว่าปิยบุตรจะไม่ได้คิดเอง ภรรยาเป็นผู้รดน้ำ พรวนดิน ให้ต้นความคิดแบบฝรั่งเศสเบิกบานในหัวของปิยบุตรหรือไม่ คงต้องหาคำตอบกันต่อไป

นางเออเชนีได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร สารคดี ฉบับที่ 363 เดือนพฤษภาคม 2558 สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองต่อประเทศไทยที่ น่าสนใจหลายประเด็น เช่นขณะที่กำลังเรียนรัฐศาสตร์ เออเชนีได้มาใช้ ชีวิตอยู่ที่เกาะพะงันเพื่อร่วมฟูลมูนปาร์ตี้ เป็นเวลา 1 เดือน เป็นครั้งแรกที่ สัมผัสประเทศไทย ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เออเชนีมองว่า “ประเทศไทยสอดคล้องกับสิ่งที่เราเรียนมา เพราะเราเรียนรัฐศาสตร์ มัน มีเรื่องวิกฤตทางการเมือง สงครามภายใน การก่อการร้าย การขายอาวุธค้ามนุษย์ ยาเสพติด ประเทศไทยมีครบหมดเลย ก็คิดว่ามาเมืองไทยไม่น่าจะตกงานนะ”

เออเชนีจึงได้ตัดสินใจเรียนภาษาไทยที่สถาบัน INALCO ในกรุงปารีส เพื่อที่จะย้ายมาหา งานทำในประเทศไทยต่อไป แค่ในแง่มุม ของภาษา ความคิดในแบบของฝรั่งเศสก็ สะท้อนออกมาให้เห็นในแนวดูถูก ภาษาไทยแล้ว ตามที่เออเชนีได้ให้ สัมภาษณ์ไว้ว่า “ตามที่เรียนมาว่าผู้ชายใช้ “ผม” ผู้หญิงใช้ “ดิฉัน” แต่สุดท้ายคำว่า “ดิฉัน” กลายเป็นคำที่ไม่ได้ใช้ใน ชีวิตประจำวัน คนฟังแล้วแปลกๆ แต่ผู้ชายใช้ “ผม” ได้ตลอดเวลา ไม่ยุติธรรมสำหรับผู้หญิงเลย แล้วใครเรียกเจนนี่ว่า “หนู” เราจะรู้สึกถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาก…”

ความเป็นไทยก็ถูกมองจากผู้หญิงฝรั่งเศสคนนี้ว่า หน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีความจริงใจ ตามที่เออเชนีได้พูดว่า “ประเทศไทยไม่ได้เป็นสังคมแห่งความจริง… ประเทศนี้ไม่เน้นเรื่องการ สนทนา ไม่เน้นเรื่องความจริง ไม่เน้นเรื่องการอภิปราย เป็นสังคมของการรักษาหน้า อันนี้ทุกคน น่าจะเห็นตั้งแต่มาประเทศไทยครั้งแรก ซึ่งสิ่งนี้นักวิชาการอาจศึกษาอยู่เหมือนกัน คือความจริงที่ อยู่เบื้องหลังภาพที่เราเห็น แต่นักท่องเที่ยวทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นแค่ภาพ เบื้องหลังเป็นอีกเรื่อง” และ ว่า “สังคมไทยเป็นสังคมที่มี contradiction… ไม่มีการสนทนากันถึงความขัดแย้งนั้น เช่นเน้นเรื่อง ศาสนาพุทธ แต่ในขณะเดียวกันก็บ้าทุนนิยม หรือว่าไม่ชอบความขัดแย้ง แต่ในขณะเดียวกันก็มี ความขัดแย้งสูงมาก หรือเรื่องศีลธรรมคุณธรรม แต่ประเทศไทยมีปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ โสเภณี มันมี hypocrisy สูงมาก…”

เออเชนีมองว่า สิทธิเสรีภาพของประชาชนไทย ก็ถูก จำกัดด้วยอำนาจรัฐ และอำนาจของสถาบัน ผ่านมาตรา 112 และวิธีการ discredit ต่างๆ นานา ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝังหัวคน ฝรั่งเศสมาแต่ยุคปฏิวัติฝรั่งเศส แสดงให้เห็นว่า เออเชนี พยายามใช้มุมมองทางลบที่เกิดในประเทศของตน และเป็นบาดแผลลึกในใจของชาวฝรั่งเศสมาจนทุกวันนี้ มาใช้กับ ประเทศไทย

โดยไม่ได้เข้าใจ เลยแม้แต่น้อยในสังคมวัฒนธรรม ความเสียสละของสถาบัน ที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพรัก และเป็นเสา หลักของประเทศไทยจวบจนปัจจุบัน ดังนั้น การจะนำทฤษฎีที่ใช้ได้กับประเทศฝรั่งเศสที่ถูกทำลาย ด้วยการปฏิวัติ มาใช้กับประเทศไทยที่อยู่มาอย่างสงบร่มเย็นภายใต้ร่มไทรแห่งบุญบารมีของ สถาบันพระมหากษัตริย์คงไม่ได้ เออเชนีน่าจะต้องกลับไปเริ่มต้นเรียนในสิ่งพื้นฐานของความเป็น มนุษย์เสียใหม่ นั่นก็คือความกตัญญูรู้คุณ เพราะชาวฝรั่งเศสคนนี้ มาอาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิ สมภาร ทำมาหากิน อยู่อย่างเป็นสุข มีรายได้ต่อปีจากเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง 2,075,787 บาท ค่าบรรยายพิเศษ 52,953.75 บาท และค่ารายงานการวิจัย งานเขียนหนังสือ บทความ 70,605 บาท รวมรายได้ถึง 2,199,345.75 บาทต่อปี หรือเดือนละประมาณเกือบ 2 แสนบาท

ในจุดนี้ เออเชนีให้สัมภาษณ์ว่า “รัฐไทยก็จะเอาสามกลไกนี้มาใช้ตลอด (การห้ามคนใน สังคมแสดงความคิด, การ discredit ความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงที่อยากจะรักษาไว้, การ discredit คนที่สร้างความจริงใหม่ที่เป็นภัยต่อความจริงที่อยากจะรักษาไว้) เพื่อรักษาความจริงทาง ประวัติศาสตร์ ว่าประเทศไทยดีงามมาตลอดเวลาจนถึงปัจจุบัน มันน่าสนใจตรงที่ว่าประเทศไทย อยู่กับสิ่งที่ไม่จริงมาตลอดเวลา ประวัติศาสตร์ หรือสิ่งที่เรียกว่าความเป็นไทย ซึ่งประกอบด้วย ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ถูกรักษาไว้ตลอดเวลา…”

นอกจากดูหมิ่นชาติไทยแล้ว เออเชนียังดูหมิ่นพุทธศาสนาอันเป็นเสาหลักของชาติไทยเรา ด้วย ว่า “ศาสนาพุทธทำให้การยึดอำนาจมันชอบธรรม อันนี้คือปัญหาหลัก หลายอย่างถูกอธิบาย ถูกรับรองความชอบธรรมด้วยศาสนา เช่น ถ้ามีการยึดอำนาจเมื่อไหร่แล้วเขาทำสำเร็จมันก็ชอบ ธรรม คือมองย้อนหลังว่าเขายึดอำนาจสำเร็จเพราะเขามีบุญบารมีมากพอที่จะทาให้สำเร็จ ทุกอย่าง อธิบายได้อย่างนี้ มองย้อนหลังแล้วบอกว่าถ้ามันเป็นก็เพราะมันต้องเป็น ถ้าทหารยึดอำนาจไม่ได้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ตอนนี้หลายคนที่มีตำแหน่งสูงอธิบายว่าเป็นเพราะประชาธิปไตยมาจาก ตะวันตก ประเทศเราไม่ต้องการมีอะไรที่ฝรั่งมันใช้ไม่ได้ในบ้านเรา เหมือนกฎหมายถ้าไปอยู่ใน ประเทศใดต้องเหมาะสมกับวัฒนธรรมด้วย อธิบายว่าประเทศเรามีกษัตริย์เป็นสถาบันสูงสุดมา ยาวนาน รัฐธรรมนูญกระดาษก็เลยฉีกได้ พอมีคนตั้งคำถามกับระบบ ยึดอำนาจเสร็จปุ๊บก็ฉีก รัฐธรรมนูญ ก็กินเวลาไปเรื่อยๆ แล้วปัญหาไม่ได้แก้ไข”

สาเหตุง่ายๆ ที่เข้าใจได้ว่าทำไมชาวฝรั่งเศสคนนี้ ทั้งที่มองประเทศไทยไม่ดี ไม่มีความ เคารพใน 3 สถาบันหลักของประเทศที่ให้ที่หลับที่นอน ให้งาน ให้ชีวิตที่ดีแก่ตน ยังคงดันทุรังอยู่ ในประเทศไทยต่อไป โดยไม่เคยคิดว่าประเทศไทยอยากให้ตนอยู่บนแผ่นดินทองนี้ไหม ก็คือ ผลประโยชน์ส่วนตนล้วนๆ ทั้งหน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัว จนกระทั่งตั้งใจที่จะปักหลัก แต่งงาน

อยู่กินแบบไม่รู้จักบุญคุณของประเทศนี้ ตามแบบความเห็นแก่ตัวแท้ๆ ของคนฝรั่งเศส แล้วยัง พยายามที่จะสร้างอิทธิพลทางความคิดผ่านการเป็นอาจารย์ การเขียนบทความ รวมทั้งการ ถ่ายทอดแนวคิดแบบฝรั่งเศสให้แก่ปิยบุตร อีกด้วย ตามที่เออเชนีได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ที่นู่น (ฝรั่งเศส) บรรยากาศไม่มีความกระตือรือร้นเท่าไร มองอนาคตแล้วเศร้า อย่างน้อยมาที่นี่ (ประเทศไทย) ยังมีความหวังว่าคงจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่ยุโรปเริ่มหมดความหวัง เอเชียก็เริ่มมี ความหวัง คนที่เกิดมาใหม่มีชีวิตที่ดีกว่าพ่อแม่ ยังมีคนเชื่อว่าอนาคตจะสวยงามกว่าอดีต แต่ยุโรป เชื่อว่าอนาคตจะแย่กว่าอดีต จากมืดมนไปมืดมิด ไม่รู้ว่าขนาดไหน แต่น่าจะหนัก” และว่า “นักศึกษา ตอนนี้ค่อนข้างมีความหวังมาก เพราะว่ามี critical thinking อยากรู้อยากเห็นและรู้จัก โลกพอสมควร ซึ่งต่างจากคนรุ่นเก่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคนรุ่นนี้สร้างสังคมแห่งการถกเถียง สังคม แห่งการแสวงหาความรู้และความจริง.. ซึ่งคนรุ่นก่อนมันเสียไปแล้ว ต้องรอให้เขาตายกันหมด ก่อน”

นอกจากตัวของปิยบุตรเองที่ขาดความกตัญญูรู้คุณในประเทศชาติของตนเองแล้ว ภรรยาที่ เขาเลือกมาก็ยิ่งไม่มีความกตัญญูมากกว่า เช่นนี้ ประเทศไทยยังต้องการให้คนจาพวกนี้อยู่บนผืน แผ่นดินของเราต่อไปอีกหรือ ขยะที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่กลับสร้างแต่โทษให้แก่บ้านเรา เราก็จะ ทิ้งถังขยะไป ไม่เก็บไว้ในบ้าน บุคคลทั้งสองนี้ ก็น่าจะมีความคิดพอที่จะพิจารณาตนเองได้เช่นกัน