ให้มันจบที่รุ่นเรา เป็นสโลแกนที่ขึงขัง ซึ่งได้มีการเปิดเฟสบุ๊กไปแล้ว นี่คือการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า เยาวชนปลดแอก ที่ได้ชุมนุมใหญ่ไปแล้วเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การชุมนุมนั้นจะมีคนกี่คน ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะเป้าหมายก็คือ การถ่ายทอดผ่านนิวมีเดียเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายเฟสบุ๊กจัดตั้งที่เข้ามาแชร์
ดูเหมือนว่า การชุมนุมนั้นจะแพร่ขยายออกไปทั่วประเทศ เป็นที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ แต่มันก็แค่บนโลกโซเชียลเท่านั้น แต่เนื้อหาที่ออกมาชุมนุมนั้นน่ากลัวยิ่ง เพราะคำพูดที่ว่า “ให้มันจบที่รุ่นเรา” นั้น ไม่ได้เป็นคำขู่แน่ ๆ หากจาบจ้วงละเมิดสถาบันจนผิดกฎหมาย ไม่คุก ก็ต้องหนีไปต่างประเทศ…..
หากการเคลื่อนไหวยังล่อแหลมผิดกฎหมายยังล่วงละเมิด จาบจ้วงสถาบันฯ ก่อนหน้านี้ ได้เตือนไปถึง คนที่บงการอยู่ข้างหลัง คนที่พยายามหลอกล่อยัดเยียดเอาข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้กับนักศึกษา .. ว่า ผลแห่งการกระทำของคุณนั้น จะนำพาไปสู่แรงปะทะ หรือ นำพาไปสู่การเข่นฆ่า แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ อนาคตของเด็กและเยาวชน ที่มาเปิดตัวเป็นแกนนำ ด้วยความมุทะลุ ดุดัน ห้าวหาญ ภาคภูมิใจ
“ธนาธร” อ้าปากบอก “ไม่ต้องมาข่มขู่” นี่คือ กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่จะกำจัดบทบาท ไม่ให้นักศึกษาและประชาชน ออกมาเคลื่อนไหว ให้คนที่ต้องการออกมาชุมนุม.. กลัว … ไม่กล้า.. …จะขอบอกว่า นี่ ไม่ใช่คำขู่ เพราะหลังจากที่ “ธนาธร” พูด เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา และหลังจากนั้น นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ไปแจ้งความจับกลุ่มเยาวชนปลดแอก.. ซึ่งหาก นายศรีสุวรรณ ไม่แจ้งความ คดีนี้ก็เป็นคดีอาญาแผ่นดิน ตำรวจต้องดำเนินคดีอยู่แล้ว
หากไม่ดำเนินคดีจะมีความผิด ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ … .. ทิศทางและเรื่องราว ต้องเดินไปเช่นนี้…เพราะนี่คือการอยู่ร่วมกันในสังคม มีกฎหมายเป็นแกน … การชุมนุมการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย ทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย…. แต่สิ่งที่ “ธนาธร” ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง แล้วพรรคตัวเองกลับถูกยุบและตัวเขาเองยังเสี่ยงที่จะติดคุกอยู่ …การที่ “ธนาธร” ยังบอกว่า จะต้องเกิดวิฤตอย่างแน่นอน ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า แล้วยังย้ำอีกว่า… ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ ที่จะยับยั้งวิกฤตนี้ ซึ่งจะต้องหันหน้ามาพูดคุยกัน อย่าให้เกิดการสูญเสียของประชาชน ซึ่งนี่ไม่ใช่ข้อเสนอ ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางออกเดียวของสังคมไทย …??? อยากจะถามว่า…ทางออกอะไร? ทางออกที่สร้างประเด็นขึ้น โจมตีสถาบันอย่างรุนแรง และเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นจริง โดยสร้าง คอนเซ็ป วาทกรรม “เราจะไม่ทน เราจะให้มันจบที่รุ่นเรา” แต่เอาเด็กออกหน้า วันหนึ่ง “ธนาธร” จะต้องรู้สึกถึงผลในการกระทำครั้งนี้
การรับข้อมูลด้านเดียวของ วัยใส ที่บริสุทธิ์ คึกคะนอง อยากเห็นสิ่งดีงามเกิดขึ้นในสังคมไทย แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำแล้วเกิดความดี…มันจะเป็นการพาสังคมไปสู่การเผชิญหน้า เข่นฆ่ากันต่างหาก จิตเจตนาของผู้ที่บงการอยู่ข้างหลัง ต้องการให้เกิดสงครามประชาชน…ตามแผนการที่ได้วางไว้
ย้อนกลับไปดูคำพูดของ “ธนาธร” …. “ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องหันหน้าเข้าหากัน เพราะถึงจุดที่จะใกล้เกิดวิกฤตการเมืองแล้ว ซึ่งหากปล่อยให้วิกฤตการเมืองครั้งนี้เกิดขึ้น มันจะรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมามาก แต่ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ที่จะยับยั้งวิกฤตนี้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียของประชาชนขึ้นอีก อย่ารอให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาก่อนแล้วค่อยหันหน้าพูดคุยกัน พร้อมย้ำว่าข้อเสนอนี้ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางออกเดียวของสังคมไทย เพื่อหาข้อตกลงใหม่ ที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน”
นั่น… มีความหมายว่าอย่างไร .. การที่นักศึกษา กล่าวโจมตีสถาบันฯ และในหนังสือ Portrait ธนาธร ซึ่งพิมพ์เอาไว้ชัดเจน ว่า สิ่งที่เขาต้องการ ก็คือ เจรจากับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 …. นี่คือวิธีคิดและการเดินเกมของ”ธนาธร” และมาดูว่า จุดจบของเรื่องนี้ จะอยู่ที่คุกตาราง หรือไม่ก็ ต้องหนีไปต่างประเทศ
ย้อนรอยไปดูประวัติของการชุมนุมของฝั่งประชาชน ที่ผ่านมา…แกนนำ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน สีไหน ล้วนได้ลิ้มรสของคุก หรือ ไม่ก็หนีไปต่างประเทศแล้ว เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2560 คดีหมิ่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 12 เดือน … แต่นี่ นายธนาธร กำลังหมิ่นสถาบันฯ ผิดตาม มาตรา 112
เมื่อ 13 ก.พ.2562 ศาลฎีกา พิพากษจำคุก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง , นายสนธิ ลิ้มทองกุล , นายพิภพ ธงไชย , นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ , นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และ นายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำพันธมิตร คนละ 8 เดือน คดีนำประชาชนบุกยึดทำเนียบรัฐบาล โดย ศาลวินิจฉัยว่า ถ้าประชาชนไม่มีผู้นำการชุมนุม ก็คงไม่เข้าไปยึดทำเนียบฯ เพราะแกนนำได้ชักชวน .. นี่ .. ก็เป็นคดีตัวอย่าง
11 ก.ย.2562 ศาลฎีกา ได้พิพากษาจำคุก นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง พร้อมพวก คนละ 4 ปี บุก โรงแรม รอยัล คลิฟ บีช พัทยา
28 มิ.ย.62 ศาลฎีกา พิพากษา นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. ปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
และยังมีคดีเผาศาลากลางอีกหลายจังหวัด มีคนติดคุกในคดีนี้อีกหลายสิบคน คดีที่ศาลพิพากษานั้น มีตั้งแต่ 10 ปี ถึง 20 ปี ที่เสียชีวิตภายในคุก ก็มี….
อีกคนหนึ่ง นายสมศักดิ์ เจียมธีระสกุล , นายจรัล ดิษฐาอภิชัย , นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ อั้ม เนโกะ , นายจักรภพ เพ็ญแข , น.ส.ฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ โรส , นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน , นางสุดา รังกุพันธุ์ , นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ , นางจรรยา ยิ้มประเสริฐ และยังมีอีกหลายคน ที่ไม่มีแผ่นดินอยู่ ต้องหนีไปต่างประเทศ นั่นคือ ผลพวงที่เกิดขึ้นกับชีวิต เมื่อกระโจนเข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมือง
ก็ต้องเตรียมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อชีวิตของตัวเอง ……. การประกาศที่จะอุทิศตัวเองให้กับส่วนรวมเป็นเรื่องที่น่าชมเชยและน่ายกย่อง … แต่การอุทิศตัวเองให้กับคนบงการโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยไม่ศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง อยู่กับการปลุกระดม
การรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผ่านมา เกิดขึ้นเพราะนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างขนานใหญ่ จนทำให้ประชาชนต้องออกมาต่อสู้ ….. จงคิด ใคร่ครวญ ใช้สติปัญญาสักนิด การอุทิศเพื่อส่วนรวมก็จะสมบูรณ์แบบ ทำให้ตัวเองและพ่อแม่ และประเทศภาคภูมิใจ ไม่ใช่การมาประกาศ “ให้มันจบที่รุ่นเรา”