รวบ 2 แฮกเกอร์ เจาะระบบแล็บขโมยข้อมูลวัคซีนโควิด ประณามจีนอยู่เบื้องหลัง พร้อมตั้งข้อหาหนัก

0

สำนักข่าวบีบีซี รายงานกรณีที่ตำรวจอเมริกันจับกุมแฮกเกอร์ชาวจีน 2 คน โทษฐานพยายามแฮกเข้าระบบของห้องแล็บในศูนย์วิจัยบริษัทยา เพื่อขโมยข้อมูลการพัฒนาวัคซีนต้านโรคโควิด 19 โดยสหรัฐอเมริกากล่าวหาว่าจีนเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง และให้การสนับสนุนแฮกเกอร์ทั้ง 2 คน นอกจากนี้ยังพบว่ามีการขโมยข้อมูลด้านอื่น ๆ อีกด้วย

ต่อมาทราบชื่อคือ หลี่เสี่ยวอวี้ และตงเจียจื่อ ทั้งคู่เป็นอดีตนักศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้า พวกเขาถูกดำเนินคดีในข้อหาขโมยและขายข้อมูลลับ รวมทั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต

ก่อนหน้านี้ ลี่เสี่ยวอวี้ กับตงเจียจื่อ เคยขโมยและขายข้อมูลลับมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ รวมทั้งขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลทางธุรกิจ จากบริษัทหลายแห่งในสหรัฐฯ มาแล้ว ทั้งสองคนจึงมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีในเรื่องการแฮกข้อมูล และพวกเขายังขโมยไปให้กับรัฐบาลจีนอีกด้วย


สำหรับสถานที่ ที่เป็นเป้าหมายยังรวมถึงบริษัทในออสเตรเลีย เบลเยียม เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ สเปน สวีเดน ลิทัวเนีย สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่นด้วย

ลี่เสี่ยวอวี้ กับตงเจียจื่อ สามารถแฮกเข้าไปในบริษัทเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ในสหราชอาณาจักร บริษัทด้านการป้องกันประเทศในสปน และบริษัทพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) ในออสเตรเลีย

ทั้งนี้อัยการสหรัฐฯ เปิดเผยว่า แฮกเกอร์จีนคู่นี้ได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนอยู่เป็นระยะ จากหน่วยข่าวกรองของจีน และกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐของจีน ซึ่งภารกิจล่าสุดของทั้งคู่คือการพุ่งเป้าโจมตีไปยังบริษัทและศูนย์วิจัยหลายแห่งทั่วโลกที่กำลังพัฒนายารักษาโรคโควิด-19

ในเดือนมกราคม 2563 ลี่เสี่ยวอวี้ กับตงเจียจื่อ ได้ลักลอบเจาะเข้าข้อมูลของบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ แห่งหนึ่งในรัฐแมสซาชูเซตส์ และไม่กี่วันหลังจากนั้น ลี่เสี่ยวอวี้ กับตงเจียจื่อ ก็ได้แฮกเข้าฐานข้อมูลบริษัทอีกแห่งหนึ่งในรัฐแมริแลนด์ ซึ่งบริษัททั้ง 2 แห่งเป็นที่รู้จักกันดีว่ากำลังทดสอบและค้นหายาต้านโคโรนาไวรัส

อย่างไรก็ตาม คู่หูแฮกเกอร์จีนก็จนมุมในที่สุด โดยการจับกุมครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ทางการสหรัฐฯ ดำเนินภารกิจปราบปรามการจารกรรมทางไซเบอร์จากจีน จนกระทั่งแกะรอยพบตัวทั้งคู่ จึงประสานให้สำนักงานสอบสวนกลาง หรือ เอฟบีไอ (FBI) เข้าจับกุม และได้ยื่นเรื่องส่งฟ้องศาลไปเรียบร้อยแล้ว

อ้างอิงข้อมูลจาก BBC