เจาะเวลาหาประชาธิปไตย และสัจธรรมทางการเมือง โดย ดร.เวทิน นักวิชาการสถาบันทิศทางไทย

0

จากกรณีดร. เวทิน ชาติกุล นักวิชาการสถาบันทิศทางไทย ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Wathin Chatkoon โดยระบุเนื้อหาว่า

“เจาะเวลาหาประชาธิปไตย”

(จาก บางส่วนของ คำนำหนังสือ “ปรัชญากับอนาคตของประชาธิปไตย” โดย อุกฤษฏ์ แพทย์น้อย)

 

(1)

กรีกโบราณที่เป็นถิ่นกำเนิดประชาธิปไตย

 

น่าจะเป็นว่านักปรัชญากรีกระดับปรมาจารย์อาจให้ความจริงกับเราได้ว่าประชาธิปไตยมีลักษณะที่แท้จริงอย่างไร? และเหตุใดจึงเป็นระบบที่พึงปรารถนา?

 

แต่นักคิดระดับปรมาจารย์ในสมัยนั้นคือ โสกราตีส เพลโต และอริสโตเติล ล้วนต่อต้านประชาธิปไตยอย่างแข็งขัน

 

โสกราตีสและเพลโตมองว่าประชาธิปไตยเป็นการปกครองโดยคนชั้นต่ำ

 

(ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเพราะกรีกโบราณแบ่งประเภทการปกครองตามชนชั้น และประชาธิปไตยก็คือการปกครองโดยสามัญชน ซึ่งประกอบด้วย พ่อค้า ช่างฝีมือ และแรงงาน)

 

นั่นไม่นับว่าโสกราตีสนั้นต้องโทษประหาร!!! ด้วยคำสั่งของรัฐบาลประชาธิปไตย (ที่มาจากคนชั้นสูงส่วนหนึ่งในเอเธนส์)

 

เพลโต อ้างเหตุผลว่า รัฐในอุดมคติควรปกครองด้วย “ปราชญ์-ราชัน” ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงความจริงแท้และสิ่งที่ถูกที่ควร ซึ่งเป็นความรู้ที่จะไม่เกิดในกลุ่มคนทั่วๆไป

 

ส่วนอริสโตเติล เสนอว่า ระบอบในอุดมคติควรเป็น “อภิชนาธิปไตย” ซึ่ง อภิชนสำหรับอริสโตเติลหมายถึงบุคคลที่กอปรด้วยคุณธรรม

 

สรุปคือ นักคิดกรีกโบราณที่เป็น “พระเอก” ในประวัติปรัชญา ต่างไม่สนับสนุนประชาธิปไตย

 

(2)

แต่นักคิดที่เป็น “ผู้ร้าย” (อย่างน้อยในสายตาของโสกราตีสและเพลโต) คือ พวกโซฟิสต์ มีบางคนที่สนับสนุนประชาธิปไตย

 

โพรทากอรัส ซึ่งเป็นโซฟิสต์คนหนึ่งบอกกับโสกราตีสว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องในกิจการทางการเมืองที่จะถามความเห็นของช่างฝีมือและพ่อค้า

 

พร้อมยกเทพนิยายเป็นเหตุผลว่า เทพเจ้าเห็นว่ามนุษย์เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นเมืองแล้วก็ทะเลาะวิวาทกัน จึงประทานความสำนึกในความเที่ยงธรรมให้แก่มนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมเพื่อแก้ปัญหานี้ เมื่อมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันในเรื่องความรู้เกี่ยวกับความยุติธรรม การปกครองในรัฐจึงควรถามความเห็นจากพลเมืองทุกคน (ซึ่งเป็นทัศนะที่เหมือนกับทัศนะของนักประชาธิปไตยในปัจจุบันยิ่ง)

 

ดังนั้นถ้าเราคิดว่าประชาธิปไตยเป็นสัจธรรมทางการเมือง

 

ในสมัยกรีกโบราณ “ผู้ร้าย” กลายเป็นผู้บรรลุสัจธรรม

 

ส่วน “พระเอก” คือ “ผู้หลงผิด”

 

(3)

หรือ…ความหวังในการตามหาประชาธิปไตยจะอยู่ที่ปรามาจารย์สมัยใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 18? อย่าง จอห์น ล็อก หรือ ฌอง ฌาค รุสโซ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ปลูกฝังอุดมคติด้านประชาธิปไตยในสังคมสมัยใหม่

 

แต่ เป้าหมายของ ล็อก นั้นมุ่งหมายที่จะจำกัดอำนาจผู้ปกครองมากกว่าสนับสนุนประชาธิปไตย

 

ล็อกกล่าวว่ามนุษย์มีสิทธิทางธรรมชาติบางประการที่ผู้ปกครองมีหน้าที่ต้องไม่ละเมิด และเมื่อมาถึงประเด็นเรื่องรูปแบบการปกครองที่ควรจะเป็น ล็อกไม่สนใจว่าจะเป็นรูปแบบใด ตราบเท่าที่เป็นรูปแบบที่บรรดาบุคคลที่ตัดสินใจมารวมกันเป็นสังคมการเมืองตกลงปลงใจเลือกตามกติกาของเสียงส่วนใหญ่

 

แม้ว่าหนึ่งในรูปแบบการเมืองที่ล็อกกล่าวถึงคือประชาธิปไตย แต่ล็อกคิดว่าถ้าบุคคลทั้งหลายเลือกราชาธิปไตย สังคมก็ควรยึดรูปแบบนี้ตราบเท่าที่กษัตริย์ไม่ละเมิดสิทธิตามธรรมชาติของประชาชน

 

กล่าวอีกแง่หนึ่งก็คือ ความคิดของล็อกนั้นเป็น “เสรีนิยม” แต่มิใช่เป็นประชาธิปไตย (หรือไม่ได้เสนอว่าประชาธิปไตยเป็นระบบที่ดีที่สุด)

 

(4)

ตรงกันข้าม….กับรุสโซ ซึ่งเป็นนักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะเสนอว่า การอกกฏหมายจะต้องเป็นผลมาจากการออกเสียงโดยตรงของประชาชนทุกคน

 

แต่…ประชาธิปไตยในอุดมคติของรุสโซก็อาจไม่เป็นที่พึงปรารถนาของแทบทุกประเทศ เพราะรุสโซปฏิเสธการมีผู้แทนราษฎร์!!!

 

แม้จะเชิดชูเสรีภาพเหนือสิ่งใด แต่ทฤษฏีของรุสโซนั้นไม่ใช่เสรีนิยม เพราะเสรีภาพส่วนบุคคลไม่มีน้ำหนักเหนือกว่าเสียงส่วนใหญ่ รุสโซเสนอว่าประชาชนควรมีเสรีภาพส่วนบุคคลที่ไม่กระทบสวัสดิภาพของสังคม แต่เสรีภาพที่ว่านี้มีอะไรบ้างนั้น ที่ประชุมพลเมืองทั้งหมดจะเป็นผู้ตัดสิน

 

สรุปว่าความคิดของรุสโซนั้นกลับตาลปัตรกับล็อก คือแม้สนับสนุนประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนเสรีนิยม

 

(5)

ถึงตรงนี้ เราต้องหยุดทำความเข้าใจเรื่อง “เสรีนิยม” กับ “ประชาธิปไตย” สักเล็กน้อย

 

ในทางตรรกะวิทยานั้น ประเด็นเรื่องใครมีสิทธิอำนาจในการปกครอง?(ประชาธิปไตย) กับ อำนาจในการปกครองควรมีขอบเขตแค่ไหน?(เสรีนิยม) มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนและแยกขาดกันได้ในทางตรรกะ

 

นั่นคือ เป็นไปได้ที่ระบบเผด็จการจะไม่ละเมิดเสรีภาพบางอย่างของประชาชน (อาจเพราะประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนระบอบนี้ ผู้เผด็จการจึงรู้สึกมั่นคงพอที่จะให้เสรีภาพบางอย่างกับประชาชน)

 

และเป็นไปได้ที่จะมีระบอบประชาธิปไตยที่ใช้มติของเสียงส่วนใหญ่ในการละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคล (เช่น มติส่วนใหญ่อาจบังคับให้ทุกคนนับถือศาสนาเดียวกัน)

 

ตรงนี้ต้องย้อนไปดูพัฒนาการของสถาบันทางการเมืองตะวันตกเพื่อให้เห็นว่า ระบบความคิดคนละสายกันตามที่กล่าวมานั้นเข้ามามีความต่อเนื่องกันได้อย่างไร?

 

(6)

ในสังคมยุโรปสมัยใหม่นั้น เมื่อสังคมเจริญขึ้นประชาชนเริ่มต้องการเป็นอิสระจากการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของกษัตริย์

 

ในขั้นแรก…ขุนนางและชนชั้นสูงซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประชาชน แต่เป็นกลุ่มที่มีอำนาจต่อรอง ได้ต่อสู้เพื่อให้พวกตนมีเสรีภาพบางส่วนที่พ้นจากอำนาจกษัตริย์และประสบความสำเร็จ

 

ต่อมา…การเกิดสงครามศาสนาในยุโรป บังคับให้รัฐต้องให้เสรีภาพในการนับถือศาสนากับประชาชนเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามศาสนา เนื่องจากเสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นเสรีภาพที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของเสรีนิยมและให้แก่ประชาชนทั้งหมด นี่จึงเป็นการขยายขอบเขตของเสรีภาพจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของเสรีนิยม

 

ขั้นต่อมา…จึงมีความพยายามที่จะทำให้ประชาชนปลอดพ้นจากอำนาจของเผด็จการ ก็คือ ทำให้อำนาจอยู่ในมือของประชนเสียเอง นี่เป็นขั้นตอนของการเป็นประชาธิปไตย

 

โดยผิวเผินจะเห็นว่าเสรีนิยมกับประชาธิปไตยไม่ได้ขาดจากกันในทางตรรกะ และประชาธิปไตยก็เป็นการพัฒนาทางตรรกะต่อมาจากเสรีนิยม

 

แต่…ภาพลวงตานี้ถูกทำลายเมื่อ ต่อมาประชาชนพบว่า ในระบอบประชาธิปไตยนั้นเสรีภาพส่วนบุคคลถูกคุกคามโดยมติของเสียงส่วนใหญ่ การแก้ปัญหานี้โดยการให้น้ำหนักกับสิทธิเสรีภาพมากกว่าเสียงส่วนใหญ่ คือมติของเสียงส่วนใหญ่จะละเมิดสิทธิบางอย่างไม่ได้

 

นั่นทำให้เสรีนิยมที่เป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ประชาธิปไตยมาลงเอยด้วยการกลายมาเป็นหลักการที่จำกัดอำนาจของประชาธิปไตย(หรืออำนาจของเสียงส่วนใหญ่)เสียเอง

 

ดังนั้น ถ้าจะเรียกให้ถูกต้อง ทฤษฎีการเมืองที่ตะวันตกยึดถืออยู่ในปัจจุบัน นั้นคือ “ทฤษฏีเสรีนิยมประชาธิปไตย” ซึ่งมาจากสองทฤษฏีมาเสริมกันนั่นเอง

 

ซึ่งทั้ง ล็อก และ รุสโซ ต่างก็มิได้สนับสนุน “เสรีนิยมประชาธิปไตย” โดยตรง ตามที่ได้กล่าวมา

 

(7)

มาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปรามาจารย์ทางความคิดอย่าง เฮเกล และ มาร์กซ์ จะทำให้เรามีความหวังในการตามหาประชาธิปไตยได้หรือไม่?

 

เฮเกล ไม่ได้โจมตีประชาธิปไตย แต่มองว่าการปกครองที่สมบูรณ์แบบจะต้องมีกษัตริย์เพื่อให้เกิดเอกภาพในรัฐ

 

พูดง่ายๆคือ อาจถือได้ว่าเฮเกลคิดว่าการปกครองในอุดมคติคือระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งไม่ขัดแย้งกับประชาธิปไตย

 

แต่…เหตุผลของเฮเกลถูกกำหนดโดยอภิปรัชญาและปรัชญาประวัติศาสตร์ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของนักคิดในปัจจุบัน

 

ส่วน มาร์กซ์ คำถามว่าประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุดหรือไม่นั้นไม่ได้มีความสำคัญ เพราะาร์กซ์เชื่อว่าอำนาจรัฐคืออำนาจที่ชนชั้นหนึ่งใช้กดขี่ชนชั้นอื่น อุดมคติของมาร์กซ์คือ สังคมที่ไม่มีรัฐ(ไม่มีรัฐบาล) กิจการในสังคมเป็นสิ่งที่พลเมืองทุกคนต้องร่วมกันบริหารจัดการ

 

ความคิดของมาร์กซ์นั้นดูขยับไปทางเดียวกับรุสโซ คือเป็นอุดมคติที่ตรงกันข้ามกับความคิดแบบเสรีนิยม

 

(8)

ปรมาจารย์ทางความคิดเพียงคนเดียวที่สนับสนุนทั้ง เสรีนิยม และ ประชาธิปไตย นั่นคือ จอห์น สจ๊วต มิลล์ จึงน่าจะเป็นเป็นความหวังสุดท้ายของเรา

 

แม้ มิลล์จะสนับสนุน เสรีนิยม อย่างแข็งขัน และในเรื่องประชาธิปไตย เขาก็ได้อ้างเหตุผลหลายข้อเพื่อชี้ให้เห็นว่าประชาธิปไตยเป็นระบบที่เป็นอุดมคติ แต่…

 

ในเรื่องการลงคะแนนเสียง มิลล์ให้ข้อเสนอว่าแต่ละคนไม่ควรมีคะแนนเสียงเท่ากัน คนที่มีการศึกษาดีกว่าหรือสติปัญญาฉลาดกว่าควรมีเสียงโหวตตั้งแต่ สองคะแนน ขึ้นไป ส่วนคนที่มีการศึกษาต่ำหรือฉลาดน้อยควรมีเสียงเดียวเท่านั้น !!!

 

ดังนั้น ถ้าเรากำลังแสวงหานักคิดระดับปรมาจารย์ที่สนับสนุนประชาธิปไตยแบบที่เรายึดถืออยู่ เราก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง

 

(9)

กล่าวโดยสรุปก็คือ นักคิดระดับปรมาจารย์ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไม่มีแม้สักคนเดียวที่สนับสนุนอุดมคติประชาธิปไตยที่เรายึดถือ

 

การเชิดชูประชาธิปไตยทั้งในวงวิชาการนั้นเกิดขึ้นหลังสมัยใหม่ และการที่คนส่วนใหญ่ในตะวันตกเชิดชูระบอบประชาธิปไตยนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 20

 

จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่การถกเถียงเรื่องประชาธิปไตยยังคงดำเนินต่อไป

 

รวมถึงการถกเถียงในขั้นพื้นฐานซึ่งยังไม่มีข้อยุติว่า ประชาธิปไตยคืออะไร? และพึงปรารถนาหรือไม่? ด้วยเหตุใด?