ความขัดแย้งทางการค้าพัฒนาสู่การเคลื่อนไหวทางการทหาร ทั้งฝ่ายสหรัฐและจีน สัญญาณใกล้แตกหักของสองขั้วมหาอำนาจ ที่ดุเดือดเข้มข้นในทุกวัน ล่าสุดสหรัฐชูความต่างอุดมการณ์ทางการเมือง พุ่งเป้าโจมตีพรรคคอมมิวนิสต์จีน
เสมือน เปิดบรรยากาศสงครามเย็นครั้งใหม่ ที่ทำให้ภาคธุรกิจทั้งฝั่งสหรัฐและจีนหวาดวิตก ท่ามกลางความยากลำบากของการระบาดไวรัสโควิด-19 เศรษฐกิจหดตัวทั่วโลก
หัว ชุนหยิง โฆษกการกระทรวงการต่างประเทศ จีน กล่าวถึงนโยบายของสหรัฐอเมริกาอยู่บนพื้นฐานยุทธศาสตร์การตัดสินใจที่ผิดพลาด ปราศจากข้อเท็จจริงรองรับ เป็นการระบายอารมณ์และหวาดระแวงแบบลัทธิแมคสคาร์ธี ประเทศจีนเชื่อเสมอว่าทั้งสองประเทศไม่ควรต้องการเปลี่ยนอีกฝ่าย แต่ควรร่วมมือกันบนความแตกต่างของระบบและอารยธรรม ไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติและคือความเหมาะสมที่สหรัฐจะได้ร่วมงานด้านต่างๆกับจีนได้
บางคนในสหรัฐถืออคติ และพยายามโยงทุกสิ่งทุกอย่างที่ประเทศจีนทำไปสู่บทบาทความเป็นศัตรู พยายามทุกอย่างที่จะขัดขวางการพัฒนาของจีนและทำลายความสัมพันธ์อันราบรื่นของสองประเทศ
ประเทศจีนไม่เคยเป็นฝ่ายยั่วยุสหรัฐ ซึ่งมีความสงสัยอย่างไม่ยุติธรรม ต่อจังหวะก้าวในการดำเนินงานของฝ่ายจีนหากมีความสำเร็จก็จะตั้งข้อรังเกียจ ประหนึ่งว่า การดำเนินการทางธุรกิจ การลงทุนทุกด้านของจีนต้องมีวาระทางการเมืองแฝงอยู่เสมอ นักศึกษาจีนทุกคนที่ไปศึกษายังต่างประเทศต้องมีเบื้องหลังเป็นสายลับ นักธุรกิจหรือบริษัทธุรกิจของจีนทุกแห่งต้องมีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง
“ถ้าสหรัฐปราศจากความมั่นใจในตนเอง ไม่เปิดกว้าง ไม่มีความอดทนอดกลั้น และไม่มีศิลปะในการรับมือกับ “ภัยคุกคามจากจีน” แล้ว ก็จะกลายเป็นจินตนาการเกินจริงไปเอง-คิดไปเองอย่างสมบูรณ์” หัวกล่าว นอกจากนี้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ยังกล่าวถึงการก่อร่างสร้างประเทศของจีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคนให้ก้าวพ้นความยากจนและรุ่งเรืองทันสมัยโดยการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์นั้นเป็นทางเลือกที่ประชาชนจีนน้อมรับ
แม้การวิจัยของสหรัฐเองก็เปิดเผยผลการวิจัยเช่นนั้น ทั้งเคเนดีสคูล และมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ทำวิจัยตลอดทศวรรษที่ผ่านมาผลว่าประชาชนจีนให้การสนับสนุนและยอมรับว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีน (the Commusist Party of China: CPC) ดีที่สุดในโลกและตอบสนองความต้องการของประชาชนจีนอย่างแท้จริงถึง 93% “ไม่มีประชาชนที่ไหน, ประเทศใด หรือองค์กรต่อสู้ใดจะปฏิเสธความจริงแห่งทางเลือกของประชาชนจีนได้ นี่เป็นวิถีทางของเรา” หัวตอกย้ำ
และนี่คือท่าทีล่าสุดที่จีนแสดงต่อเหตุการณ์ การกดดันทางการค้า ทางการทูตและทางการเมืองระหว่างประเทศที่สหรัฐกระทำอย่างต่อเนื่องและหนักหน่วงเข้มข้นขึ้นในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ท่าทีดังกล่าวเสมือนบอกเตือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวาระอันใกล้
คำถามที่ว่าสงครามเย็นมาถึงแล้วหรือยัง? พิจารณาจากเหตุปัจจัยความสัมพันธ์ของสหรัฐและจีนที่คุกรุ่นในปัจจุบัน
1.ทางการจีนได้ประกาศกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ฮ่องกง ในวันฉลองการกลับคืนสู่แผ่นดินใหญ่ของฮ่องกง เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สหรัฐมีท่าทีแข็งกร้าวกับจีนมากขึ้น และหันเหตวามสนใจมาสู่เอเซีย-แปซิฟิคมากกว่าเดิม หลังจากที่ปัญหาในตะวันออกกลางยังคาราคาซัง และสถานภาพของสหรัฐในพิ้นที่จะว่าชนะก็ไม่ใช่ จะบอกว่าแพ้ก็ไม่กล้ายอมรับ
2.ท่าทีทางทหารของจีนในทะเลจีนใต้ ทำให้สหรัฐเร่งปักหมุด หาพันธมิตรในอาเซียนอย่างจริงจัง ทั้งการรื้อฟื้นสัมพันธ์ทางการเมืองการทหารกับฟิลิปปินส์ และการมาเยือนประเทศไทยท่ามกลางระบาดโควิด-19
3.ปัญหาภายในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนำโดยรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปั่นป่วนสั่นคลอนในความนิยมและเสียงสนับสนุนอย่างไม่คาดคิด เพราะความผิดพลาดในการจัดการบริหารรับมือการระบาดไวรัส โควิด-19, ปัญหาการชุมนุมประท้วงเรื่องการเหยียดเชื้อชาติที่ยืดเยื้อมา 2 เดือนและไม่มีทีท่าจะจบลงแต่อย่างใด ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง สถานะการเงินการคลัง ปัญหาการเมืองภายในประเทศระหว่าง 2 พรรคใหญ่แย่งชิงการนำ
จะเห็นได้ว่า การก่อประเด็นปัญหาโต้แย้งต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่เดือนเริ่มจากที่สหรัฐเป็นฝ่ายเริ่มไม่พอใจ การเคลื่อนไหวของจีนในทุกด้าน และเป็นฝ่ายล่วงล้ำขอบเขตนโยบายของจีนมาโดยตลอด โดยอ้างความชอบธรรมเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เรียกว่ายุคนี้จีนทำอะไรก็ผิดในสายตาสหรัฐ
หากเทียบกับปัญหาสงครามเย็นในอดีต ระหว่างสหรัฐ-รัสเซีย ก็เริ่มจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ เสรีประชาธิปไตย กับ เผด็จการคอมมิวนิสต์ สัญลักษณ์ปะทุเริ่มแรกคือ กรณีรัสเซียไม่ยอมถอนทหารออกจากเยอรมัน กำแพงเบอร์ลินจึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์เริ่มสงครามเย็น และการทลายกำแพงเบอร์ลินก็คือสัญลักษณ์สิ้นสุดสงครามเย็นในอดีต
ปัจจุบันฝั่งสหรัฐเริ่มพูดถึงความขัดแย้งทางความคิด อุดมการณ์การเมืองทั้งปธน.ทรัมป์, รมต.ยุติธรรมสหรัฐ ,รมต.ต่างประเทศสหรัฐ เรียงหน้ากันมาประณามจีนและทั้งขู่และปลุกใจ นักธุรกิจยักษ์สหรัฐฯที่ไปสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน่ให้ถอนตัวจากประเทศจีนถี่ขึ้น
แต่ยุคสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว โลกดิจิทัลได้เชื่อมโยงประชาชนในโลกทั้งสองขั้วอำนาจสัมพันธ์กันผ่านเทคโนโลยีทันสมัย เกือบลืมเลือนเรื่องอุดมการณ์และมุ่งหน้าสู่การทำมาค้าขายเป็นหลักในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อยุ่ๆก็มีการปลุกเร้าแนวความคิดทางการเมืองสองขั้วขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งในสหรัฐฯและหลายพื้นที่ที่ขัดแย้งทางผลประโยชน์เศรษฐกิจ
สถานการณ์จะพัฒนาไปทางผ่อนคลาย หรือจะดุเดือดแหลมคมทางการทหารมากเพียงใดขึ้นอยู่กับว่า การสานประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสองขั้วมหาอำนาจในทุกๆพื้นที่ทั่วโลกเป็นไปด้วยดีหรือ แตกหัก ถ้าเป็นอย่างหลัง ภาวะสงครามเย็นครั้งใหม่ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง
………………………………………..
https://www.globaltimes.cn/content/1194763.shtml
(ในช่วงสงครามเย็นในอดีต สหรัฐอเมริกาใช้วิธีล่าแม่มดผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ด้วยการสงสัยและกล่าวหาบุคคลที่อาจเป็นสายลับโซเวียต และเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯที่เรียกว่า ลัทธิแมคคาร์ธี)