ขบวนการโจมตีสถาบันฯ กระทำกันเป็นขบวนการ ภายใต้ทฤษฎีการปฏิวัติประชาชนรองรับและชี้นำ เกิดขึ้นมาสมัยกลุ่มคนเสื้อแดง นั่นก็คือ ขบวนการล้มเจ้า เช่น กลุ่มคอมมิวนิสต์ตกค้าง พวกซ้ายไดโนเสาร์ ซ้ายตกขอบ.. ปัจจุบัน..โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่คนกลุ่มนี้ หาแยแสอะไรไม่…??
ยกตัวอย่าง รัสเซีย ซึ่งเคยเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ก่อนล่มสลายไปในที่สุดต่อมา ในปี 2000 ภายใต้การนำของ วลาดิเมียร์ ปูติน ในยุคสหัสวรรษใหม่ เต็มไปด้วยความหวังและอนาคต ราคาน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม สินค้าส่งออกสำคัญของรัสเซียราคาพุ่งสูงขึ้นหลายเท่า ประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เศรษฐกิจที่รุ่งเรืองอย่างไม่เคยมีมาก่อน … ปูติน จึงได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างสูงในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง ทำให้เขาสามารถรวบอำนาจได้อย่างมั่นคง ….
ระบอบปูติน นั้น ดำรงอยู่ภายใต้สถาบันรัฐธรรมนูญ และอาศัยพลังของสถาบันรัฐธรรมนูญ ในการเสริมสร้าง และขยายการครองอำนาจนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงทศวรรษที่ 2000 สามารถผงาดขึ้นมาต่อสู้กับ อเมริกาได้อีกครั้ง
สำหรับ ประเทศจีน ก็เช่นกัน รุ่งเรืองมาได้จากการปกครองแบบผสมผสาน ระหว่างคอมมิวนิสต์และสังคมนิยม รวมไปถึง เผด็จการเบ็ดเสร็จ โดยมีผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง จนกระทั่ง จีน เป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่หลายประเทศต่างอ้าแขนรับ เพราะทำให้เศรษฐกิจการลงทุนประเทศนั้น ดีขึ้นอย่างแน่นอน….
ย้อนกลับไป 4 มิ.ย.2563 มีข่าวขึ้นหน้า 1 หลายฉบับ กับการหายตัวไปของ นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งลักลอบอยู่ในกัมพูชา กลับเป็นข่าวใหญ่โต เพราะนักข่าวต่างชาติคนหนึ่ง นายแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชลล์ อดีตนักข่าวรอยเตอร์ส ชาวสกอต พยายามเปิดข่าว เชื่อมโยงกับสถานบันสูงสุด ต่อมา นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ออกมารับลูกต่อ เขย่าข่าวให้ใหญ่โต อีกทั้ง พี่สาวของนายวันเฉลิม เล่าว่า ขณะเกิดเหตุ เขาโทรศัพท์คุยกับ วันเฉลิม โดยเสียงสุดท้ายที่ได้ยินจากวันเฉลิมผ่านโทรศัพท์ คือ “โอ๊ย หายใจไม่ออก” ก่อนสายจะตัดไป ทำให้คิดว่า วันเฉลิม โดนอุ้มแน่นอนและโยงไปยังสถาบันเบื้องสูง
กระทั่ง ทางการกัมพูชา ออกมาบอกว่า ให้ไปแจ้งความ และข่าวดังกล่าวนั้น กลับเงียบลงไปทันใด เป็นที่น่าสงสัย…ทำไมถึงหยุดเคลื่อนไหวไปเสียดื้อ ๆ หรือ กำลังหาวิธีโจมตีใหม่ หรือ หาตัว วันเฉลิม เจอแล้วเหรอกระนั้นหรือ..???
ซึ่งนั่น…ชี้ให้เห็นถึง ทฤษฎี สะสม ทิ่มแทง เป็นของขบวนการปฏิวัติ สะสมปริมาณไปสู่คุณภาพ ทฤษฎีการพูดให้ข่าวนั้นเป็นการออกข่าวไปเรื่อย ๆ จนทำให้ผู้คนรู้สึกมีอารมณ์ร่วม ไม่พอใจ แล้วออกมาลุกขึ้นสู้
แนวทางการปฏิวัติ คิดได้หลายรูปแบบ ทั้งในระบบรัฐสภา เช่น พรรคก้าวไกล (อนาคตใหม่) ซึ่งสามารถยึดกุมพื้นที่รัฐสภาได้ โดยแสดงออกถึงอุดมการณ์ที่ชัดเจน ส่วนอีกกลุ่มก็ออกแนวปฏิวัติ
และบุคคลหนึ่ง ที่จะกล่าวถึงไม่ได้ “อานนท์ นำภา” หรือ ทนายเสื้อแดง ก็ถือว่าเป็นนักต่อสู้อุดมการณ์คนหนึ่ง แต่ นักต่อสู้ที่แท้จริง ต้องมีทฤษฎีชี้นำและทฤษฎีนั้น ต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง พาประเทศชาติ สังคม ประชาชนให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้ ไม่มีทฤษฎีเช่นนี้อยู่ในหัว มีแต่คิดจ้องจะล้มสถาบัน
ครั้งหนึ่ง …นายกฯประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ ขอร้องคนไทย “ ไม่ละเมิดและก้าวล่วงสถาบัน เพราะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระเมตตา ไม่ให้ใช้ ม.112 ”
และทำให้ นายอานนท์ ออกมาโพสต์ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงว่า … “ ก่อนที่จะไม่ให้พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาลต้องสอบสวนก่อนว่าทุกข้อกล่าวหานั้นเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์หรือไม่ ไม่ใช่มาห้ามคนพูดถึงเลย ไม่งั้นก็จะกลายเป็นว่าคนในสถาบันกษัตริย์ ทำอะไรก็ไม่ผิด ไม่สามารถตรวจสอบได้ คนที่เสียภาษีบำรุงเลี้ยงดูสถาบันกษัตริย์ได้แต่มองตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้เลย “ ….
และล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา นายอานนท์ จัดกิจกรรม ครบรอบ 123 ปี ชาตกาลของ จอมพล คนแปลก ๆ นามว่า แปลก พิบูลสงคราม ทางกลุ่มจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกิจกรรม “HAPPY BIRTHDAY แบบแปลกแปลก” เพื่อรำลึกมรดกของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี และบุคคลสำคัญของคณะราษฎร ที่ไม่ว่าใครจะคิดเห็นกับเขาเช่นไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาผู้นี้ได้ทิ้งมรดกหลายสิ่งหลายอย่างไว้ให้กับสังคม” ซึ่งมีการจุดเทียน ร้องเพลง HAPPY BIRTHDAY ด้วย
สำหรับ จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม นั้น อยู่ในคณะราษฎร และมีการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ตัวเองนั้นสำคัญ เท่ากัน หรือ มากกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ นั้น … ต้องคิด ???
แต่สิ่งที่ จอมพล ป. ทำขณะอยู่ในคณะราษฎรนั้น ต้องถือว่า เป็นผู้สร้างมรดกเผด็จการขึ้นมา หลังเข้าสู่อำนาจ เมื่อ 24 มิ.ย.2475 ได้เป็นนายกฯ ต่อจาก พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา
หลังจากนั้น เข้าจับกุม กลุ่มคนที่มีข่าวว่าจะก่อการ”กบฏ” นั่นก็คือ พระยาทรงสุรเดช ขณะนั้น ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการโรงเรียนรบ จ.เชียงใหม่ ได้นำนักศึกษาไปฝึกภาคสนามที่ จ.ราชบุรี ได้ถูกคำสั่งให้พ้นจากราชการ โดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญ และบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก็คือเขมรโดยทันที
(จริง ๆ แล้ว ก่อนที่ จอมพล ป. จะขึ้นเป็นนายกฯ นั้น จอมพล ป. และ พระยาทรงสุรเดช มีเสียง ในสภาฯ สูสีกัน ซึ่ง พระยาทรงสุรเดช เป็นศัตรูทางการเมืองของ จอมพล ป.)
และนั่น ทำให้ หลวงพิบูลสงคราม ได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นพิจารณาคดีเป็นการเฉพาะ ศาลพิเศษนี้ได้ตัดสินว่า มีการเตรียมการยึดอำนาจโดย พระยาทรงสุรเดช เป็นผู้นำ และตัดสินลงโทษประหารชีวิตนักโทษ 18 คน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482
หลังจากนั้น จอมพล ป. นำประเทศไทยเข้าสู่ความเสี่ยง ร่วมสงครามกับญี่ปุ่น ในสงครามโลก ครั้งที่ 2 … โชคดีที่ ขณะนั้น ศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ หรือ อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ก่อตั้ง ขบวนการเสรีไทย ในประเทศไทย รวมทั้ง อังกฤษและอเมริกา ช่วยกันให้ไทยรอดพ้นจากสงคราม
หลังจบ สงครามโลก จอมพล ป. โดนข้อหา เป็นอาชญากรสงคราม แต่ได้ ศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ ช่วยเหลือ เพื่อที่จะไม่ต้องส่งตัวไปที่ศาลโลก จึงทำให้หลุดพ้นข้อกล่าวหา และหวนกลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง หลังจากที่ ลูกน้อง จอมพล ผิน ชุณหะวัณ (บิดา พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) ก่อรัฐประหาร 8 พ.ย.2490 แล้วให้ นายควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็น นายกฯ จากนั้นไม่นาน จอมพล ป. นำทหารไปจี้ให้ นายควง ลาออกจากการเป็นนายกฯ จอมพล ป. จึงกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง
ย้อนไปวันที่ 6 เม.ย.2491 จอมพล ป. กลับมาเป็นนายกฯ จนปี 2494 ขณะนั้น จอมพล ป. เป็นนายกฯ เป็น ผบ.ทบ. เป็นผู้ที่มีอำนาจเต็มที่ ทำการ รัฐประหาร พ.ศ. 2494 หรือ รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 โดยอ้างว่า…
เนื่องจากสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันตกอยู่ในความคับขันทั่วไป
ภัยแห่งคอมมิวนิสต์ได้ถูกคุกคามเข้ามาอย่างรุนแรง ในคณะรัฐมนตรีปัจจุบันนี้ก็ยังดี
ในรัฐสภาก็ดี มีอิทธิพลของคอมมิวนิสต์เข้าแทรกซึมอยู่เป็นมาก
แม้ว่ารัฐบาลจะทำความพยายามสักเพียงใด ก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหา
เรื่องคอมมิวนิสต์ได้ ทั้งไม่สามารถปราบการทุจริตที่เรียกว่า คอร์รับชั่น
ดังที่มุ่งหมายว่าจะปราบนั้นด้วย ความเสื่อมโทรมมีมากขึ้น จนเป็นทีวิตก
กันทั่วไปว่า ประเทศชาติจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในสถานการณ์
การเมืองอย่างนี้
จึงคณะทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ ผู้ก่อการ
เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คณะรัฐประหาร พ.ศ. 2490
พร้อมด้วยประชาชนผู้รักชาติ มุ่งความมั่นคงดำรงอยู่แห่งชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์บรมราชจักรีวงศ์ และระบอบรัฐธรรมนูญ ได้พร้อมกัน
เป็นเอกฉันท์ กระทำการเพื่อนำเอารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ฉบับลงวันที่ 10 ธันวาคม พุทธศักราช 2475 กลับมาใช้ให้เป็นความ
รุ่งเรืองสถาพรแก่ประเทศชาติสืบไป….
ซึ่งเรื่องนี้มีนัยทางประวัติศาสตร์ จึงทำให้ นายอานนท์ ยกเอาเรื่องนี้มาเคลื่อนไหวทางการเมือง…..
ในการรัฐประหารครั้งนั้น เกิดขึ้นก่อนที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งขณะนั้นได้เสด็จกลับจากสวิสเซอร์แลนด์ เรือพระที่นั่งจะเข้าอ่าวไทย จะเสด็จนิวัติพระนครเพียง 16 ชั่วโมง เท่านั้น …ซึ่งเป็นการรัฐประหารตัดหน้า และพระองค์เสด็จพระราชดำเนินถึงประเทศไทย ในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2494
โดยที่ คณะบริหารประเทศชั่วคราว ได้ขอให้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ลงพระนามในประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ แต่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัตฯ มิได้ทรงลงพระนาม โดยทรงให้เหตุผลว่า ควรจะยกให้เป็นพระราชวินิจฉัย อย่างไรก็ตาม ในวันต่อมา ก็ได้มีประกาศว่า คณะรัฐมนตรีชั่วคราว ถืออำนาจแทนพระเจ้าแผ่นดิน ได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแล้ว…..
นั่นคือ เหตุผลในการรัฐประหาร เป็นการรัฐประหารตัวเอง ที่ต้องการนำเอา รัฐธรรมนูญ 2475 มาใช้ ก็เพื่อ ลดบทบาทสถานของสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยความฟอนเฟะของคณะราษฎร … ประชาชน ก็เกิดความเสื่อมศรัทธาไปเรื่อย ๆ และเกิดการชิงรัฐประหารตัดหน้า… นั่น…หมายความว่าเช่นไร???
หลังจาก จอมพล ป. ทำรัฐประหาร ในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 โดย หลังการรัฐประหาร จอมพล ป. ได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2492 และกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 เพื่อเป็นการลดอำนาจ พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ จอมพล ป. ยังได้ จำกัดชีวิตส่วนพระองค์ของ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้อยู่แต่เฉพาะในพระนคร และวังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ เท่านั้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2498 จอมพล ป. ได้จัดให้พระองค์และ สมเด็จพระบรมราชินี (พระอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จเยือนภาคอีสานโดยทางรถไฟ ผลปรากฏชัดว่า พระองค์เป็น ที่นิยมของประชาชนจำนวน มาก ดังนั้น จอมพล ป. จึงได้ตัดงบประมาณในการเสด็จ ครั้งต่อไป โดยเฉพาะในโอกาสฉลองพุทธศตวรรษ พ.ศ. 2500 รัฐบา ลได้กราบบังคมทูลเชิญพระมหากษัตริย์ เสด็จมาทรงเป็นประธาน ซึ่งก็ทรงตอบรับเป็นที่เรียบร้อย แต่ครั้นถึงวันงาน ทรงพระประชวรปัจจุบันทันด่วน ทำให้ นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจเป็นประธานเปิดพิธีเอง
และในเดือนสิงหาคม ปีดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาโจมตีรัฐบาลของ จอมพล ป. ว่า ละเมิดพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งข่าวการระหองระแหงกันระหว่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และรัฐบาล ดังกล่าว ทำให้สาธารณะเริ่มไม่ไว้วางใจรัฐบาลมากขึ้น
และก็เป็นสาเหตุสำคัญ ที่ลูกน้อง อย่าง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ และ จอมพล สฤสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง และ จอมพล สฤสฤษดิ์ ก็ได้รับระบบเผด็จการมาจาก จอมพล ป. และ จอมพล ป. ก็เป็นผู้เปลี่ยนแปลง 2475 เป็นคนสำคัญในคณะราษฎร
ซึ่งการที่ นายอานนท์ ได้นำมาหยิบยกมาพูดนั้น เป็นเพียงแค่ด้านเดียว … อะไรก็ตาม ที่นำพาไปสู่การกระทบกระเทือน ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มักจะขยันทำ แต่ไม่มีวันได้ผล การปฏิวัติที่แท้จริง ต้องเกิดจากพื้นฐานความเป็นอยู่ของประชาชน ที่มาจากระบบเศรษฐกิจ ความยากจน และต้องรู้ว่า ใคร…กดขี่ ข่มเหง
ประเทศนี้ คนที่กดขี่ข่มเหง…คือ กลุ่มทุนสามานย์ กับ กลุ่มทุนใหญ่ ที่ครอบงำเราทุกสิ่งทุกอย่าง นี่แหละ… คนไทยต้องร่วมกันต่อสู้กับกลุ่มทุนเหล่านี้ เพื่อพลิกฟื้นประเทศ ให้คนยากจน มีความแข็งแรงขึ้น…..
แล้ววันหนึ่ง…. ประสาทในสมองของคุณ จะชี้ขึ้นมาเอง…