จากกัลยาณมิตร ดร.แสงเทียน ปธ.ยุทธศาสตร์ทิศทางไทย ถึง ทีมงานนายกและศบค. เร่งสร้างความเชื่อมั่นปิดช่องโหว่ บทเรียนทหารอียิปต์ลูกทูตซูดาน

0
ศบค.

บทความพิเศษจาก…กัลยาณมิตร ทิศทางไทย ถึง ทีมงานนายกฯ และ ศบค. โดย รศ.ดร.แสงเทียน อยู่เถา ประธานยุทธศาสตร์วิจัยสถาบันทิศทางไทย

จากกรณี ที่มีทหารอียิปต์และบุตรสาวของท่านอุปทูตซูดาน ซึ่งได้สิทธิ์ตามที่กำหนดไว้ให้สามารถกักตัวแบบที่แตกต่างกับ State Quarantine โดยทั่วๆ ไปที่ประชาชนเข้าใจกันเพราะเนื่องจากมีแนวทางแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐที่กำหนดไว้ แบบบูรณาการ โดยฉบับปรับปรุง Version 2.0 ประชาชนสามารถดาวน์โหลดเอกสารเพื่ออ่านทำความเข้าใจอย่างละเอียดได้ที่

https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/g_quarantine/g_quarantine_state090763.pdf

ขอทำความเข้าใจกับทุกท่านถึงรูปแบบของการดำเนินการกักตัวของคณะทำงานด้านภารกิจมาตรฐานการกักกัน (Quarantine) ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินกรมควบคุมโรค จึงแบ่งรายละเอียดสถานที่กักกันโรคเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

1) State Quarantine สามารถแบ่งออกตามพื้นที่ และหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดังนี้

  • 1.1 National State Quarantine (NSQ.) หมายถึง พื้นที่กักกันแห่งรัฐระดับประเทศที่ดำเนินการโดยหน่วยงานระดับกระทรวง สำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ผ่านช่องทาง ท่าอากาศยานดอนเมือง สุวรรณภูมิและอู่ตะเภา
  • 1.2  Alternative NSQ. หม ายถึง พื้นที่กักกันทางเลือกระดับประเทศ สำหรับชาวต่างชาติและชาวไทยที่มีความประสงค์
  • 1.3 Local State Quarantine (LSQ.) หมายถึง พื้นที่กักกันแห่งรัฐระดับจังหวัด ที่ดำเนินการโดย หน่วยงานระดับจังหวัด สำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ผ่านช่องทางด่านอากาศยาน ด่านพรมแดน และด่านท่าเรือ
  • 1.4 Alternative LSQ. หมายถึง พื้นที่กักกันทางเลือก ระดับจังหวัด สำหรับชาวต่างชาติ และชาวไทยที่มีความประสงค์

2) Organizational Quarantine หมายถึง พื้นที่กักกันสำหรับกลุ่มบุคคล หน่วยงาน หรือบริษัทที่ เดินทางเพื่อทำภารกิจ (Work permit)

3) Hospital Quarantine หมายถึง พื้นที่กักกันแห่งรัฐ สำหรับผู้ถูกกักกันที่มีความเสี่ยง ทั้งเหตุผลด้านสุขภาพ เหตุผลทางคดีและอื่น ๆ

4) Alternative Hospital Quarantine หมายถึง พื้นที่กักกันทางเลือก สำหรับชาวต่างชาติที่มีความเสี่ยง ทั้งเหตุผลด้านสุขภาพ เหตุผลทางคดีและอื่น ๆ

ซึ่งตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉิน พ.ศ. 2558 (ฉบับที่ 1) ข้อ 3 กำหนดกรณีการปิดช่องทางเข้ามาในราชอาณาจักรให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบปิดช่องทางเข้าออก ด่าน จุดผ่านแดน หรือจุดผ่อนปรนตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อและกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง โดยมีข้อยกเว้นหรือผ่อนผันให้กับกลุ่มบุคคลหรือบุคคลบางประเภท และเมื่อเข้ามาในราชอาณาจักรแล้วต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนดและข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2558 กำหนดให้ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ ต้องปฏิบัติตาม เงื่อนไข เงื่อนเวลา และหลักเกณฑ์ที่นายกรัฐมนตรี ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 หรือผู้มีอำนาจตาม กฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อกำหนด โดยให้ผู้ซึ่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือพนักงานเจ้าหน้าที่สั่ง หรือ กำหนดเป็นเงื่อนไขในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรให้แยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกต ณ ที่เอกเทศ หรือ สถานที่ซึ่งทางราชการกำหนด ต้องปฏิบัติตามค าสั่งหรือเงื่อนไขดังกล่าวตามระยะเวลาที่กำหนด ประกอบกับ มติที่ประชุมของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคโควิด- 19 จากผู้เดินทางซึ่งมาจากท้องที่หรือเมืองท่านอกราชอาณาจักร และให้กรม ควบคุมโรคในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ สามารถกำหนดแนวทางปฏิบัติ มาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางการดำเนินการเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็นและความเหมาะสม เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป (กระทรวงสาธารณสุข, 2563)

เมื่อพิจารณาตามมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2558 (
ฉบับที่ ๑๒) ตามราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 30 มิถุนายน  2563 นั้น กล่าวไว้ในข้อ 1เกี่ยวกับการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย มีเหตุยกเว้นสำหรับบุคคลในคณะทูตตาม (3) คือ บุคคลในคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศซึ่งมาปฏิบัติงำนในประเทศไทย หรือบุคคลในหน่วยงานระหว่างประเทศอื่นตามที่กระทรวงการต่างประเทศอนุญาตตามความจำเป็น ตลอดจนคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว และทหารอียิปต์ที่เข้าข่ายตาม (5) คือ ผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะซึ่งจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจและมีกำหนดเวลาเดินทางออกนอกราชอาณาจักรชัดเจน ซึ่งก็คือให้ดำเนินการกักตัวแบบ Organizational Quarantine หมายถึง พื้นที่กักกันสำหรับกลุ่มบุคคล หน่วยงาน หรือบริษัทที่ เดินทางเพื่อทำภารกิจ (Work permit) หรืออาจเรียกว่า Self Quarantine  แต่ก็ต้องเป็นไปตามข้อ 2 ของมาตรานี้คือให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อควบคุมดูแลให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรปฏิบัติตามเงื่อนไขเงื่อนเวลา และหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนดไว้โดยเคร่งครัด และให้ผู้ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อสั่งหรือกำหนดเป็นเงื่อนไขในการเดินทำางหรือการเข้ามาในราชอาณาจักรรับการแยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกต ณ สถานที่และตามระยะเวลาซึ่งทางราชการกำหนดหรือปฏิบัติตามระบบการตรวจสอบการเดินทางในราชอาณาจักรหรือการใช้แอปพลิเคชันติดตามตัว เพื่อให้มารับการตรวจหาเชื้อเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีกำรติดเชื้อก็ได้ ซึ่งรายละเอียดสามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/153/T_0035.PDF

เมื่อบุคคลในกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นนี้ออกนอกจากสถานที่ที่ต้องกักตัวตามรูปแบบ แต่มีความผิดพลาดในการที่จะเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโดยมีการตรวจพบว่าบุคคลเหล่านั้นมีการติดเชื้อจริงและมีการออกไปนอกพื้นที่ที่ควรใช้ในการกักตัวก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นจริง จนเกิดกระแสความไม่พอใจของประชาชนและการใช้ถ้อยคำหยาบคายมากมายในสังคมออนไลน์ เรื่องนี้ก็ต้องแยกกันให้ดีระหว่างกลุ่มต่างๆ ได้แก่

  1. กลุ่มผู้ที่มีความกังวลต่อการติดเชื้อและต่อรายได้หรือการประกอบอาขีพ เป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญและรับฟังอย่างจริงจัง
  2. กลุ่มที่ประชดประชัน เปรียบเปรยความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งจากเจ้าหน้าที่ และรัฐบาล กลุ่มนี้ก็ยังพอยอมรับได้ แม้บางท่านจะเป็นผู้อาวุโส แล้วก็ตาม แต่ก็ “เอาให้ท่านสบายใจแล้วกัน”
  3. กลุ่มที่ด่าทอ ใช้คำหยาบคาย จาก “ฝ่ายแค้น” ต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ซึ่งดำเนินการแบบนี้ในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนากยกรัฐมนตรีและรัฐบาลอยู่แล้ว โดยกลุ่มเหล่านี้มีการใช้เครื่องมือออนไลน์ในการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เป็นกลุ่มที่น่ารังเกียจไม่ได้ให้ข้อชี้แนะ เสนอแนะใดๆ นอกจาก ด่าทอ ใช้คำหยาบโลน มุ่งสร้างความเสียหายต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลอย่างเดียว และสร้างแนวร่วมคนในโลกออนไลน์เพื่อสร้างความเกลี่ยดชังต่อนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐ

เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงบุคคลโดยทั่วไปก็ต้องมีความตระหนก กังวลต่อการแพร่ระบาดของโรค เพราะจะกระทบต่อการใช้ชีวิตและการทำมาหากินของพี่น้องประชาชนโดยรวมไปด้วย  การที่ นายกรัฐมนตรี และ ศบค. ออกมาขอโทษประชาชนก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี มีความผิดพลาดก็ยอมรับและหาวิธีป้องกัน ปรับปรุงการดำเนินการของการกักตัวในกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นต่อไป

แต่สิ่งที่ต้องการนำเสนอไปยังทีมงาน นายกรัฐมนตรีและ ศบค. ก็คือ บทบาทของผู้นำที่ต้องแสดงให้สังคมเห็นโดยการดำเนินการช่วยให้มีการดำเนินการที่ออกสู่พี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เพราะโดยส่วนตัวแล้วเห็นว่านายกรัฐมนตรีมีความเป็นผู้นำสูง พูดจริงทำจริง แต่การที่จะให้ท่านนายกรัฐมนตรีออกมาขอโทษ ท่ามกลามการด่าทออยู่อย่างมากมายแบบนี้คงไม่เหมาะสมนัก ควรมีการดำเนินการประสานเพื่อเรียกตัวผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้าไปชี้แจงต่อนายกรัฐมนตรีอย่างเร่งด่วน และเปิดเผย ทั้งจากระดับพื้นที่ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดและสาธารณสุขจังหวัดระยอง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้รับผิดชอบด้านสาธารณสุขของก กทม. และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคลากรจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงต่างประเทศและผู้ปฏิบัติงานสำคัญของ ศบค. จากนั้นก็ให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจให้ผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ศบค. และสั่งการเพื่อให้เห็นว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นจะต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก หรือจะหาทางแก้ไขปรับปรุง เพื่อให้มีช่องโหว่ในการดำเนินการให้น้อยที่สุด และสั่งการให้มีการแถลงความจริงออกไปสู่พี่น้องประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ก็จะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนมากขึ้น คนที่เห็นด้วยกับการโจมตีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลก็จะได้มีข้อมูลในการพิจารณามากขึ้น สะท้อนความเป็นผู้นำในสถานการณ์แบบนี้ได้ดีมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาผลงานการดำเนินการในรูปแบบของ ศบค. และการดำเนินการของนายกรัฐมนตรีที่รับฟังความคิดเห็นในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีผลงานเป็นรูปธรรมและกำลังจะดำเนินการอย่างเป็นระบบ ทั้งการควบคุมโรคและการฟื้นฟู เยียวยา ของผู้คนในประเทศ อย่าให้ผลงานเหล่านี้มลายหายไปตามคำด่าทอของคนที่มุ่งให้ร้ายมาอย่างต่อเนื่องเลย

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายในการดำเนินการ ประชาชนที่การ์ดไม่ตกก็ทำดีอยู่แล้วและเราก็ทำทั้งเพื่อตัวเราเองและส่วนรวมอยู่ก็ทำดีอยู่แล้ว ขอให้ทำต่อไป อย่ามาน้อยใจว่าอุตส่าห์ทำแทบตาย ก็เพราะทุกคนทำ ทุกคนตระหนัก ประเทศเราถึงมีผลลัพธ์ที่ดีอย่างนี้ และก็เป็นหน้าที่ของพวกเราชาวไทยทุกคนอยู่แล้ว เราทำดีและสถานการณ์ของประเทศก็ดีอยู่แล้ว อย่ามัวโทษกันเลย ขอประนามกลุ่มคนที่อาศัยเหตุการณ์นี้มาเป็นโอกาสในการทำลายนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐ โดยการใช้คำหยาบคาย ด่าทอ และสุดท้ายขอให้ทีมงานนายกรัฐมนตรีและ ศบค. ได้พิจารณาในสิ่งที่พวกเราแนะนำไปด้วยความจริงใจ และการให้กำลังใจด้วยใจจริง