จากกรณีที่ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 3 คน ในวันที่ 12 ก.ค.2563 ที่ผ่านมา โดยมีดังนี้ คนที่ 1 เป็นชายไทยอายุ 48 ปี อาชีพรับจ้างเดินทางมาจากคูเวต ซึ่งเที่ยวบินดังกล่าวพบผู้ติดเชื้อแล้ว 10 คน ผลตรวจเชื้อไม่มีอาการ ประวัติพักในแคมป์คนงาน ส่วนคนที่ 2 หญิงไทยอายุ 22 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางมาจากบาห์เรน คัดกรองอาการมีไข้และตรวจพบเชื้อในวันที่ 12 ก.ค.ซึ่งเดินทางถึงไทย
ส่วนคนที่ 3 เป็นชาวต่างชาติสัญชาติอียิปต์ อายุ 43 ปี อาชีพทหาร จากประเทศในภูมิภาคแอฟริกาเดินทางมาถึงไทยวันที่ 8 ก.ค. และเข้าพัก State Quarantine ที่จ.ระยอง รวมทั้งได้มีการเดินห้างดังในจังหวัดระยองด้วย จากนั้นวันที่ 9 ก.ค. ออกจากโรงแรมไปทำภารกิจทางทหารที่จีน และกลับมาที่โรงแรมเกือบ 24.00 น.ตรวจเชื้อ 10 ก.ค. ส่วนลูกเรืออีก 30 คนที่มาด้วยกันไม่พบเชื้อ จากนั้นวันที่ 11 ก.ค. ได้เดินทางกลับประเทศ และผลตรวจออก 12 ก.ค.พบติดเชื้อ
สำหรับทหารคนดังกล่าวเดินทางเข้าไทยในลักษณะของลูกเรือ ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนด คณะทหารชุดดังกล่าวเดินทางจากอียิปต์ ไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 6 ก.ค.จากนั้นไปปากีสถาน 7 ก.ค. และ 8 ก.ค. ลงที่สนามบินอู่ตะเภา และเข้าพักโรงแรม จากนั้น 9 ก.ค.ไปทำภาพกิจที่จีน, 10 ก.ค.ตรวจหาเชื้อทั้งคณะ 31 คน , 11 ก.ค.เดินทางกลับ และผลออกว่าติดเชื้อ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา
ต่อมาทางห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ในจังหวัดระยอง ได้ออกจดหมายแถลงการณ์ โดยมีห้างแพชชั่น ช้อปปิ้ง เดสติเนชั่น ได้ชี้แจงว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ทหารอียิปต์รายดังกล่าวไม่ได้มาใช้บริการแต่อย่างใด และห้างยังคงใช้มาตรการเข้มงวด ให้ลงทะเบียนเข้าออก ทำความสะอาดฆ่าเชื้อตลอดเวลา และบังคับให้ลูกค้าทุกท่านต้องสวมหน้ากากอนามัยเข้ามา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : เคลื่อนไหวล่าสุด!!! ห้างดังระยอง ออกจดหมายชี้แจงด่วน เคสทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด เข้ามาใช้บริการ
ล่าสุดนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า กรณีทหารอียิปต์ 31 นาย เข้าพักโรงแรมใน จ.ระยอง แต่ออกไปห้างสรรพสินค้าและบินไปจีนระหว่างกักตัว โดยตรวจเชื้อพบติดโควิด-19 จำนวน 1 นาย ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ว่าเป็นที่ใด และผู้ป่วยที่ยืนยันได้เดินทางไปด้วยหรือไม่ จึงต้องดูจากกล้องวงจรปิด
หากประชาชนเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะและสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ก็จะเป็นการป้องกันโรคได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นความสำคัญอย่างยิ่งในการลดโอกาสติดเชื้อ ในระหว่างนี้ขอให้ประชาชนใน จ.ระยอง มีการป้องกันตัวเองที่มากขึ้น และทีมสอบสวนกำลังเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดคาดว่า 2-3 วันจะทราบผล
ขณะที่ทางด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ ว่า ทหารท่านนี้เดินทางเข้ามาในลักษณะของลูกเรือ ตามข้อกำหนดมาตรา 9 ฉบับที่ 6 ที่ระบุ คน 11 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะ และเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจ และมีกำหนดเวลาเดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่ชัดเจน ซึ่งกลุ่มนี้เข้ามาได้แต่จะมีที่พักให้ เดิมเป็นโรงแรมแถวสุวรรณภูมิ แต่เนื่องจากมีเที่ยวบินเข้ามามาก ทำให้ทหารและลูกเรือชุดนี้ จำนวน 31 คน เดินทางเข้ามาและลงที่สนามบินอู่ตะเภาแทน ส่วนอีก 30 คนที่เหลือตรวจแล้วไม่พบเชื้อ
เรื่องนี้ต้องพูดคุยกันอย่างมากในที่ประชุม ศบค. ซึ่งเดิมกลุ่มลูกเรือเราใช้โรงแรมแถวสุวรรณภูมิ แต่ครั้งนี้มาลงสนามบินอู่ตะเภา ทำให้มาตรการของการคุมเข้มในเรื่องตรงนี้มีข้อต้องทบทวนปฏิบัติกันใหม่ ซึ่งทีมสอบสวนโรคยังพบว่า ทีมลูกเรือนี้ได้ออกจากโรงแรมไปยังสถานที่บางแห่งใน จ.ระยอง ซึ่งทีมจะสอบสวนโรคในพื้นที่สัมผัสทุกแห่งที่กลุ่มนี้เดินทางไป ตอนนี้พอมีบางแห่ง เช่น ห้างสรรพสินค้าบางแห่งในระยอง ถ้าท่านคิดว่า มีความเสี่ยงหรือสัมผัส ให้โทร.เข้ามายัง 1422 นอกจากนี้ โรงแรมดังกล่าวที่ จ.ระยอง ถือว่าเป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ที่พบเชื้อ ฉะนั้น การเข้าไปสอบสวนโรค ต้องครอบคลุมโรงแรมนี้ทั้งหมด
“ตอนนี้ ยังไม่มีข้อเสียหายที่เป็นประเด็น ถ้าคุมโรคได้ปิดจุดอ่อน กำหนดข้อปฏิบัติให้ละเอียดยิ่งขึ้น ข่าวนี้ข้อดี คือ ขอให้รับทราบว่าใกล้ตัวเรามาก เพราะไม่ได้เกินกว่าความคิดที่จะบอกว่า มีระลอก 2 ใกล้เข้ามาแล้ว ขอให้ดูแลตัวเองอย่างดี ปลอดโรคปลอดภัยนานเท่านาน”
นอกจากนี้เมื่อย้อนไปดูข้อบังคับเงื่อนไขที่จะให้คนต่างชาติเข้าไทยได้นั้น ศบค.เห็นชอบบุคคล 6 กลุ่มเดินทางเข้าไทย และในส่วนการจัดทำความตกลงพิเศษ โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค โควตาที่กำหนดให้สอดคล้องกับสถานที่กักตัวทางเลือก (Alternative State Quarantine : ASQ) คือ โรงแรมหรู ที่จับมือกับ รพ. ซึ่งคนเข้ามาต้องจ่ายเงินเองในการอยู่กักตัว 14 วัน
ขั้นต้นอาจกำหนดจำนวนรวม 200 คนต่อวัน ซึ่งตอนนี้ห้องว่าง 600 กว่าห้องก็คิดว่าน่าจะพอไหว ส่วนประเทศเป้าหมายที่พิจารณา คือ 4 ประเทศและ
1 เขตการปกครอง คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน และเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เกณฑ์การพิจารณา คือ 1. มีความสำคัญทางเศรษฐกิจต่อไทย 2. ควบคุมการระบาดได้ดีใกล้เคียงกับไทย 3. มีระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ และ 4. มีความพร้อมและความสนใจในการทำความตกลง
การที่ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาทำได้ 2 ระบบ คือ
1. ระบบปกติ (Normal Track) คือ ต้องเข้ามาอยู่ใน ASQ เพื่อกักตัว 14 วันก่อน โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง คือ คนที่ต้องมาอยู่กับเรานานๆ มาทำงานนานๆ
2. ระบบ Fast Track คือ มาระยะสั้นๆ หรือมาเร่งด่วน เช่น มาจดทะเบียนลงนามสัญญาสำคัญ 2 วันแล้วกลับ เป็นต้น ไม่ต้องอยู่ 14 วัน แต่ต้องมีเงื่อนไขเข้มงวด โดยหลักเกณฑ์ในการรองรับการเดินทางของแขกรัฐบาล คือ
– เป็นคณะเล็กไม่เกิน 10 คน
– เดินทางระยะสั้น
– ตรวจรับรองการปลอดเชื้อโควิดที่ประเทศต้นทางและเมื่อเดินทางถึงไทย โดยให้ตรวจและรอผลตรงนั้น ต้องเป็นลบ 2 ครั้งถึงเข้าประเทศได้
– ให้หน่วยงานราชการที่เป็นเจ้าภาพเชิญแขกระดับสูง พิจาณาจัดเจ้าหน้าที่ประจำคณะในลักษณะ Liaison Officer ติดตาม หรือมีคนตามประกบ
– มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานความมั่นคงติดตามคณะนั้นไปด้วย และมีค่าใช้จ่ายให้ทีมเหล่านี้ด้วย
– ต้องจำกัดการเดินทางเฉพาะกำหนดการที่ได้ตกลงไว้ล่วงหน้าเท่านั้น ห้ามคณะเดินทางไปในที่สาธารณะและห้ามใช้ขนส่งมวลชน สำหรับการเดินทางเข้ามา แบ่งเป็น กลุ่มที่ได้รับการอนุมัติแล้วและยังรอการเดินทาง ให้เดินทางกลับพร้อมคนไทยในเที่ยวบิน Repratiation Flight และกลุ่มที่กำลังขออนุมัติการเดินทาง
อย่างไรก็ตามจากเงื่อนไขข้างต้น ในเคสของทหารอียิปต์ อาจจะเป็นการเดินทางระยะสั้น ทำให้ไม่ต้องกักตัว 14 วัน แต่ก็น่าสงสัยว่า หากมีการตรวจจากต้นทางประเทศของตนเอง เหตุใดจึงยังไม่พบเชื้อ หรืออาจจะอยู่ในขั้นที่ไม่แสดงอาการ นับว่าน่ากังวลมาก
เนื่องจากทหารรายนี้เดินทางไปรายประเทศในช่วงวันที่ 6-8 ก.ค. ก่อนจะเข้ามาประเทศไทย หากผ่านการคัดกรองตรวจโควิดรอบที่ 2 ก็ถือว่ายังไม่พบเชื้อ แต่กลับมาพบเชื้อในวันที่ 12 ก.ค. 63 แทน และจากประเด็นร้อนนี้ ทำให้คนไทยในพื้นที่เสี่ยง ต้องเข้มงวดป้องกันตนเองอย่างมากด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคนในจังหวัดระยอง