จากกรณีที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ได้สวมใส่หน้ากากอนามัยให้สาธารณชนเห็นเป็นครั้งแรก นับจากโรคโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนะนำมานานแล้วว่าให้ใส่เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งนี่นับเป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวยอมสวมหน้ากากออกสื่อ
โดยเขาได้ใส่หน้ากากระหว่างเดินทางเยือนโรงพยาบาลทหาร วอลเตอร์ รีด ชานกรุงวอชิงตัน เพื่อพบบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานรักษาผู้ป่วยโควิด โดยก่อนออกจากทำเนียบขาวเพื่อไปโรงพยาบาลดังกล่าว และได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวทำเนียบว่า “เวลาคุณไปโรงพยาบาล ผมคิดว่าควรจะใส่หน้ากากซะนะ” ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเหตุการณ์เซอร์ไพรส์มาก ๆ หลังจากที่เจ้าตัวยืนกรานว่า ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมสวมหน้ากากเด็ดขาด
นอกจากนี้หลาย ๆ บทบาทและวีรกรรมของ “ทรัมป์” ทำให้มีผู้คนในแวดวงใกล้ชิด ตราหน้าว่าเขาคือคนบ้าอำนาจคนหนึ่ง รวมไปถึงพลเมืองสหรัฐอเมริกาที่เริ่มผิดหวัง หลังจากทรัมป์ชนะตำแหน่งการเลือกตั้ง ยิ่งในช่วงโควิด-19 ผู้นำหลาย ๆ ประเทศต่างก็ห่วงอเมริกา เพราะด้วยท่าทีและคำพูดของผู้นำประเทศ ที่อาจจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ ไม่เด็ดขาด ไม่ป้องกัน ไม่คุมเข้ม ทำตัวไม่น่าเชื่อถือ นำมาสู่การแฉเบื้องลึกจากหลานสาวแท้ ๆ
โดยหลานสาวได้แฉ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างเผ็ดร้อน ไว้ในหนังสือ “Too Much and Never Enough : How My Family Created the World’s Most Dangerous Man” หรือ “มากไปและไม่เคยพอ : ครอบครัวของฉันสร้างชายที่อันตรายที่สุดในโลกขึ้นมาได้อย่างไร” ที่มีกำหนดตีพิมพ์ในวันที่ 14 ก.ค. นี้
ทั้งนี้ทางด้าน แมรี แอล ทรัมป์ นักจิตวิทยาวัย 55 ปี บุตรสาวของเฟร็ด ทรัมป์ จูเนียร์ พี่ชายผู้ล่วงลับของผู้นำสหรัฐฯ เขียนในหนังสือเล่มดังกล่าวว่า ปัญหาต่าง ๆ ทั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 แนวโน้มว่าอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และการแบ่งแยกทางสังคมที่หยั่งรากลึกขึ้น ต่างมีส่วนให้ผู้นำสหรัฐฯ เผยถึงลักษณะที่แย่ที่สุดออกมา ชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่่่สหรัฐฯ มีเศรษฐกิจที่มั่นคงและไม่เผชิญกับวิกฤต ปัจจัยดังกล่าว รวมทั้งการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชอบการแบ่งแยก และความไม่แน่นอนของอนาคตประเทศ นั้นทำให้เกิด “หายนะอย่างสมบูรณ์แบบ” ที่ไม่มีใครจัดการได้แย่กว่าอาของเธอเอง
ปัญหาต่าง ๆ ในขณะนี้ทำให้ทรัมป์ไม่สามารถที่จะ “โกหกและปั้นเรื่อง” เพื่อปกป้องตัวเองในสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจได้อีกต่อไป ทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก ถูกตรวจสอบหนักอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน และยิ่งทำให้เขาอยาก “แก้แค้น” ด้วยการไม่อนุมัติเงินภาษีเพื่อเป็นทุนจำเป็น ซื้ออุปกรณ์ป้องกันไวรัสและเครื่องช่วยหายใจแก่รัฐที่ไม่สนับสนุนเขาเท่าที่ควร โดยแมรี เท้าความไปตั้งแต่สมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นนักเรียนว่า เคยจ้างเพื่อนให้ทำข้อสอบมาตรฐานเข้ามหาวิทยาลัย SAT ให้แทน และยังให้แมรีแอนน์ ทรัมป์ แบร์รี่ พี่สาวของเขา ทำการบ้านให้มาตลอด ซึ่งตอนนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเคยกังวลด้วยว่า เกรดของเขาอาจไม่ดีพอที่จะเข้าวิทยาลัยธุรกิจวอร์ตันแห่งมหาวิทยาลัยรัฐเพนซิลเวเนีย (University of Pennslyvania) ได้ โดยในที่สุดเขาก็ได้เข้าเรียนโดยโอนย้ายหน่วยกิตจากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม
ผู้นำสหรัฐฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเคร่งศาสนาผู้นี้ กลับไม่ได้เป็นศาสนิกชนที่ดีหรือมีหลักการอะไร เขาจะเข้าโบสถ์ก็ต่อเมื่อมีสื่อมารอทำข่าวเท่านั้น ซึ่งเธอและแมรีแอนน์ ทรัมป์ แบร์รี่ ไม่คิดว่าเขาจะได้เป็นประธานาธิบดีจริง ๆ เมื่อเขาลงชิงตำแหน่งครั้งแรก แต่เมื่อเขาชนะเลือกตั้งแบบพลิกล็อค เธอก็เห็นว่า “ผู้ลงคะแนนเสียงที่หวาดกลัวได้เปลี่ยนประเทศนี้ให้กลายเป็นภาพใหญ่ของครอบครัวที่มีปัญหาของเราแล้ว”
หนังสือเล่มนี้ยังกล่าวถึงสาเหตุปัญหาฝังลึกในครอบครัวทรัมป์ โดยเขียนว่า เฟร็ด ทรัมป์ ปู่ของผู้เขียน เป็นตัวการสร้างความแตกแยกในครอบครัว และคนที่ได้ประโยชน์ก็คือโดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะที่สมาชิกครอบครัวคนอื่นรวมทั้งพ่อของเธอกลับต้องสูญเสีย แต่ตัวโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร ตัวเขาเป็นคนไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเรื่องนี้ก็ทำให้เธอสูญเสียความเชื่อมั่นในคุณค่าของการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเช่นกัน
ในประเด็นนี้ ผู้นำสหรัฐฯ เคยกล่าวกับหนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์เมื่อปีที่แล้วว่า เขาเสียใจที่เคยพยายามกดดันให้ เฟร็ด ทรัมป์ จูเนียร์ เข้าร่วมทำธุรกิจของครอบครัว ทั้งที่ตัวเฟร็ดเองต้องการเป็นนักบินมากกว่า เขากล่าวด้วยว่า โรคติดสุราเรื้อรังที่คร่าชีวิตของพี่ชายเขาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาตัดสินใจไม่ดื่มสุรา
หนังสือเล่มนี้เกือบจะไม่ได้ตีพิมพ์ เนื่องจากโรเบิร์ต ทรัมป์ น้องชายของผู้นำสหรัฐฯ ฟ้องแมรี แอล ทรัมป์ โดยอ้างถึงข้อตกลงของสมาชิกครอบครัวทรัมป์เมื่อ 20 ปีที่แล้วว่า ไม่ตีพิมพ์เรื่องราวของสมาชิกหลักในครอบครัวก่อนที่เจ้าตัวจะอนุญาต
แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศาลสั่งระงับไม่ให้แมรี แอล ทรัมป์ และตัวแทนของเธอจัดจำหน่ายหนังสือได้ แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์นิวยอร์กก็มีความเห็นว่า สำนักพิมพ์ไซมอน แอนด์ ชูสเตอร์ ผู้ตีพิมพ์หนังสือ ไม่ได้อยู่ในข่ายของคำตัดสินดังกล่าว โดยทางสำนักพิมพ์กล่าวเมื่อวันจันทร์ (6 ก.ค.) ว่า จะตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้เร็วกว่ากำหนดการเดิมสองสัปดาห์ เนื่องจากมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก
ขอบคุณภาพ : Simon & Schuster