เศรษฐกิจทุนน้ำใจ
ดร.เวทิน ชาติกุล ผู้อำนวยการสถาบันทิศทางไทย
ออกตัวไว้ก่อนว่าผมเป็นคนที่ความรู้เรื่องเศรษฐกิจต่ำมาก นอกจากอุปสงค์ อุปทานพื้น ๆ ซื้อมาขายไป กำไรขาดทุนแล้ว อย่างอื่นแทบไม่รู้เรื่อง วันก่อน เห็นข่าว ธนาคารแห่งประเทศแถลง ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 0.75% จะเอาเงินไปอุ้ม QE ภาคตราสารหนี้ อ่านข่าว FED จะอัดฉีด QE ไม่อั้น บอกตรง ๆ ครับ กูไม่รู้เรื่อง และก็คงเหมือนชาวบ้านอีกเป็นล้านคนในประเทศนี้ที่ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ (นักการเงิน นักการคลัง นักลงทุน) กำลังทำอะไรกันอยู่…แต่รู้ว่า “…กูอาจกำลังไม่มีจะแดกในอีกเดือนหรือสองเดือนข้างหน้า…”
ผมเลยไปถามนักเศรษฐศาสตร์อย่างอาจารย์สุวินัยให้ช่วยอธิบายให้ฟัง นี่คือคำตอบที่ได้รับ “…ไม่ต้องเข้าใจและไม่มีวันเข้าใจครับ…”
“…ถ้าเข้าใจว่า เงินตรา สังคม ประชาธิปไตย คือ สมมติล้วน ๆ … มันก็ครือ ๆ กัน มันเป็นชุดอธิบายสาเหตุของมหาวิกฤติที่จะเกิดขึ้นชุดหนึ่งเท่านั้น ไม่มีใครหยุดมันได้หรอก เหมือนกับไวรัสยังไง…มันแค่อุบัติขึ้นมาในวันหนึ่งเท่านั้นเอง…”
ประเทศนี้คงไม่มีใครรู้ทันสันดานทุนนิยมเท่ากับอาจารย์สุวินัยคนที่เคยทำนายเรื่องจะเกิดฟองสบู่แตกก่อนปี 40 แล้วไม่มีใครเชื่อจนได้ฉิบหายกันทั่วหน้ามาทีหนึ่งแล้ว เราอยู่ในสังคมทุนนิยมที่ซับซ้อน และจะว่าไปแล้ว ทุนนิยมมันอยู่ได้ เพราะกลไกการเล่นแร่แปรธาตุทางการเงินแบบพิศดารจนชาวบ้าน แม่ค้า พ่อค้า เข้าใจไม่ได้ ระบบแบบนี้มันเป็นดั่ง “ปราสาททราย”
พูดแบบชาวบ้านก็คือเป็น ภาพมายาที่สลับซับซ้อน
พูดแบบพระก็คือเป็น กลไกของโลภะกิเลสที่พิศดาร
ซึ่งพูดแบบนี้ ท่านรัฐมนตรีอย่างคุณสมคิด คุณอุตตม หรือ อดีตรัฐมนตรีอย่างคุณกรณ์ ก็อาจไม่เข้าใจอีกท่านก็จะบอกว่ามันไม่ใช่ อย่าเถียงผม ผมรู้ ผมเรียนมา ประมาณนั้น ผมไม่ได้จะมาเถียงกะใครเรื่องทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อะไร แต่จะเล่าว่าเคยได้ยินระบบเศรษฐกิจนอกตำราฝรั่งของสำนักสันติอโศก ที่เรียกว่า
ระบบบุญนิยม
ระบบทุนนิยม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยใช้กิเลส มีกำไรเป็นตัวตั้ง
ระบบบุญนิยม คือ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยใช้การลดละกิเลส มีต้นทุนเป็นตัวตั้ง อาจมีกำไรบ้างแต่ไม่ถึงกับมีช่องว่างของต้นทุนกับกำไร จนกลายเป็นนิยามของคำว่า “รวย” ได้แบบระบบทุนนิยม
แปลว่า ระบบทุนนิยม ที่เราคุ้นชินก็แค่ระบบอุปโลกน์แบบหนึ่งในหลาย ๆ แบบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียว ตายตัว แก้ไขไม่ได้
ในยามเกิดวิกฤติที่ระบบทุนนิยมอาจจะไม่ใช่แค่ชะลอตัว(Slowdown) หรือ ถดถอย(Recession) แต่อาจถึงขั้นพังทลาย(Meltdown) เพราะไวรัสทำให้กลไกธุรกิจพัง ต้องหยุดธุรกรรมกันทั้งโลก
ผมไม่เข้าใจและบอกไม่ได้หรอก ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนอกจากมายาภาพ ของเงิน ของทุน ของความมั่งคั่ง ของความร่ำรวย ของความจน ของความเหลื่อมล้ำ มันอาจจะชัดเสียจนชัดชนิดที่ คาร์ล มาร์กซ์ ที่เรียกร้องให้ “ปฏิวัติชนชั้น” แทบตายก็นึกไม่ถึงว่านายทุนที่กูเกลียดนักเกลียดหนาจะมีวันวิปโยค วิบัติฉิบหายเพราะเชื้อโรคชนิดหนึ่ง
แต่ในวิกฤตินี้ผมก็เห็น ชาวบ้าน พ่อค้า แม่ค้า คนธรรมดา เขาไม่มีอำนาจอะไร ไม่มียศฐา ไม่มีตำแหน่ง และยังได้รับผลกระทบ ชีวิตลำบากย่ำแย่ไม่แพ้กับพวกเราๆท่านๆทุกคน แต่…
เจ๊จงข้าวหมูทอด ทำข้าวกล่อง 600 กล่องให้หมอ-พยาบาล #เราก็แย่ ส่งกำลังใจให้กัน ,ข้าวมันไก่โอชิน ทานฟรี 1 คน 1 ห่อ ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ,เจ้าของโรงงานเย็บเสื้อ ชลบุรีโปโล เปลี่ยนโรงงานมาเย็บหน้ากากแจกฟรีให้ หมอ-พยาบาล-อาสา #เพราะความเห็นแก่ตัว น่ากลัวกว่าเชื้อโรค ,ร้านข้าวแกงแขนลาย ลดราคาเหลือจานละ 20 บาท, เจ้าของร้าน แม่สอด แจกไข่ฟรี 5,000 ฟอง ฯลฯ
รวมถึง หมอยง บอกว่า ในภาวะแบบนี้ ผู้ที่มีอันจะกินหรือเจ้าของกิจการจะต้องลงมาช่วยผู้ว่างงานให้อยู่ได้อย่างพอประมาณ
ผมคิดเล่นๆ สมเด็จสังฆราช รับสั่งให้ตั้ง “โรงทาน” ช่วยเหลือคนที่ยากลำบาก 7-11, Lotus, BigC, KFC, Pizza, Grab, ธุรกิจอาหารและบริการส่ง ควรแสดงน้ำใจช่วยคนไทยฝ่าวิกฤติ ลดราคา 20% จนกว่าจะพ้นภาวะฉุกเฉิน ท่านผู้บริหารทั้งหลาย อยู่ในวงจรธุรกิจ เห็นตัวเลข รู้ตัวเลข ก็คงจะประจักษ์แก่ใจท่านเองว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่างไรในอีก 2 เดือน 6 เดือน หรือ ปี 2ปี ในภาวะจะฉิบหายกันทั้งโลกแบบนี้ ลด Margin ของคุณลงสักนิด เพิ่มน้ำใจของคุณลงไปสักหน่อย อย่าคิดว่า “ต้นทุน” มันมีแค่เรื่อง ทรัพย์สิน เงินทอง ของแบบนี้ มีได้ เยอะแค่ไหน ก็หมดได้
แต่ “น้ำใจ” “การแบ่งปัน” “ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่” ก็คือ ”ต้นทุน” แบบหนึ่งเหมือนกัน มันนำไปสู่ ความสมัครสมาน เกาะเกี่ยวสายใยสังคมอันดีงามของสังคมตะวันออกเรา ไม่ให้ล่มสลายไปแบบสังคมตะวันตกที่เน้น อัตตาตัวตน ปัจเจกชน และสุดท้ายคือเอาตัวรอด ตัวใครตัวมัน
สังคมให้คุณ คุณให้คืนสังคม สังคมรอด คุณก็รอด WIN-WIN จะเรียกมันว่า “ระบบเศรษฐกิจทุนน้ำใจ” ก็ได้ ลดกำไร เพิ่มน้ำใจ แย่แค่ไหนก็ไม่ทิ้งกัน ไม่กอบโกยเอาเปรียบกันและกัน
เหมือนที่มหาตมะคานธีพูดไว้ ทรัพยากรมีพอสำหรับคนทั้งโลก แต่ไม่พอสำหรับความโลภของคนคนเดียว เหมือนที่หมอยง พูดไว้อีกนั่นแหละ ประเทศไทยนี้อุดมสมบูรณ์ ไม่ขาดแคลน ถ้ารู้จักแบ่งปันซึ่งกันและกัน และพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542
“…ข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นชาวไทยมีความสุขถ้วนหน้ากัน ด้วยการให้ คือให้ความรัก ความเมตตากัน ให้น้ำใจไมตรีกัน ให้อภัย ไม่ถือโทษ โกรธเคืองกัน ให้การสงเคราะห์ อนุเคราะห์กัน โดยมุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน ด้วยความบริสุทธิ์ และจริงใจ…”