สถาบันทิศทางไทยจัดโซเชียลเสวนา “พร้อมรับ ภาวะฉุกเฉิน รับมือ COVID-19 ระดับ3 ” ร่วมเสวนา โดย “สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” ประธานสถาบันทิศทางไทย , “ดร.สุวินัย ภรณวลัย” ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย และอ.ศาสตรา โตอ่อน นักกฎหมายอิสระและนักวิชาการสถาบันทิศทางไทย ดำเนินรายการโดย“ดร.เวทิน ชาติกุล” ผู้อำนวยการสถาบันทิศทางไทย เมื่อวันที่17 มี.ค ที่ผ่านมา
“อ.ศาสตรา โตอ่อน” กล่าวถึงการระบาดของไวรัส COVID-19 ระบุว่า ตอนนี้ประเทศไทยตามที่ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประกาศไปก่อนหน้านี้ คือเราใช้พ.ร.บ.คงบคุมโลกใช้มาตราประกาศเรื่องวันหยุดวันสงกรานต์ เป็นต้น หากย้อนกลับมาที่โมเดลตัวเลข ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ปรากฏ 177 คน (ณ วันที่17 มี.ค.63) เป็นตัวเลขตามกฎหมาย ตามขั้นตอนทางราชการที่สาธารณสุขยืนยันผ่านการตรวจสอบว่าบุคคลนี้ติดเชื้อ และเดินทางไปที่ไหน แต่โมเดลทางระบาดวิทยาเป็นคนละโมเดลทางกฎหมายหรือขั้นตอนการทำงาน ซึ่งเรื่องที่ถูกต้อง แต่โมเดลทางระบาดวิทยานั้นคูณ 30 ถ้าโมเดลนี้ถูกต้อง ผู้ติดเชื้อก็จะมากกว่า 5,000คน ซึ่งกลุ่มนี้ก็ยังเคลื่อนไหวอยู่
…ตลาดหุ้นร่วง คนอเมริกันแพนิค เทขายทั้งหุ้นทั้งทอง ซื้อแป้งสาลี-ปืน
“อ.ศาสตรา” ระบุเมื่อช่วงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสถาบันทิศทางไทยได้มีการออกแถลงการณ์ต่อกรณีที่รัฐบาลจะมีการแจกเงินแสนล้าน ก็ไม่ได้เห็นค้านอะไรแต่ต้องมองถึงลำดับความสำคัญในการใช้เงินควรจะทุ่มเทงบประมาณไปที่การแพทย์ก่อน เป็นสิ่งแรกที่ควรทำ ซึ่ง ณ เวลานี้รัฐบาลทำได้ดีมาก อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ลงไปถึงแพทย์ พยาบาลได้อย่างครบถ้วน ต่อมาที่ต้องดูพิจารณาคือเรื่องเศรฐกิจเป็นอันดับที่ 2 แพนิคสำคัญในสหรัฐอเมริกา กระทบเศรฐกิจไปหมด ตั้งแต่ภาคบนที่สุด ในวันนี้ตลาดหุ้นร่วง สภาวะตลาดตอนนี้คาดการณ์ไม่ได้ ปกติตลาดหุ้นลง ทองคำจะขึ้น แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นลง ทองลง สะเทือนไปหมด เวลานี้คนอเมริกันเทขายหมด ทั้งหุ้น ทองคำ พันธบัตร เพื่อไปซื้อแป้งสาลี และซื้อปืน เพราะกลัวว่าจะเกิดการปล้นสะดม
เมื่ออเมริกาเกิดแพนิค ส่งผลกระทบมาที่ไทย ภาคตลาดทุน พันธบัตร ไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตั้ง”กองทุนพยุงหุ้น” บวกขึ้นมา แต่ตอนนี้กลับไปร่วงเรียบร้อย ที่น่าเป็น Real Sector ที่ได้รับผลกระทบก่อนแน่นอนคือ การบิน การท่องเที่ยว ภาคบริการกระทบหมด ตอนนี้ที่กำลังเครื่องติดอยู่คือภาคอุตสาหกรรม แต่ต้องประเมินสถาการณ์ต่อไปว่า ถ้าโควิด19ระบาดหนักขึ้น คนงานจะกล้าเข้าไปทำงานหรือไม่
…สิ่งที่save Thailand คือภาคเกษตร คือแนวทางพระราชดําริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
“อ.ศาสตรา” กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมาการพัฒนาเศรษฐกิจ มุ่งเน้นประเทศไทยไปผนวกกับโลก ปล่อยภาคเกษตรกร ไม่มีน้ำทำนามาหลายครั้งมาก GDP 8% ก็จริง แต่เมือวิกฤตมา วิธีการมืองต้องเปลี่ยน เหมือนที่เคยจะติดเครื่องยนต์ เครื่องที่1 เครื่อง2 เครื่องที่3 แต่ ณ เวลานี้มันไปไม่ได้ ฝรั่งสะเทือนไปหมด และสะเทือนมาที่เมืองไทย ตลาดหุ้นไทย volume 0.5% ของตลาดหุ้นทั้งหมด ซึ่งเมื่อกระทบแล้ว จะกระทบทั้งหมด เปราะบางมาก ดังนั้นการที่ตนหรือสถาบันทิศทางไทยพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้พูดบนพื้นฐานของอุดมการณ์ หรืออุดมคติเลื่อนลอย แต่ยืนอยู่บนพื้นฐานของเศรษฐกิจสมัยใหม่ ต้องกลับมาดูแลให้ดีโดยเฉพาะเรื่องสต๊อกอาหาร มีเพียงพอหรือไม่ ไม่ใช่ส่งออกหมด แบบกรณีหน้ากาก ต้องมีให้พอสำหรับคนไทย และหากจะมองไปข้างหน้า..พร้อมหรือไม่ที่จะเป็นเสบียงกลางให้กับโลกใบนี้ ซึ่งก็เป็นโอกาสอีก
ปัญหาต่อมา คือคนตกงาน อ.สุวินัยเคยวิวาทะว่า มีข้าวอาจจะมีพอ แต่คนไม่มีเงินจะทำอย่างไร ตนคิดว่าการมองภาพตรงนี้ นอกจากทุมโทมโหมกำลังไปที่การแพทย์แล้ว ต้องกลับมาดูแลคนในทางเศรษฐกิจอันดับที่ 2 จะได้ยิงงบประมาณฯเข้าไปถูก จุด ประเทศเราก็จะรอด
กรณีCOVID19 เป็นแค่ Shock wave เป็นแค่ควันไฟยังไม่มา ภาวะโลก ณ เวลานี้ ยุโรปนอกจากเบร็กซิต ดอยเชอ แบงก์ติดหนี้ตราสารอนุพันธ์เต็มไปหมด อเมริกามีปัญหาหนี้ทั้งครัวเรือนและสาธารณะ จีนมีปัญหาหนี้ทั้งครัวเรือนและสาธารณะ สูง หนี้สนโลกสูงมาก เพราะโลกาภิวัตน์ทำให้เกิด super bubble ดังนั้น COVID19เป็นแค่บทนำ มันกำลังเกิดวิกฤตถาโถมตามมาในเวลา 2-3 ปี ถ้าจำวิกฤตในปี40ได้ สิ่งที่save Thailand คือภาคเกษตร คือแนวทางพระราชดําริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรามีสิ่งดีอยู่แล้วรีบกลับมาหาสิ่งนี้ ประเทศเรามีโอกาสประคับประคองอยู่รอดไปได้