อีกหนึ่งเรื่องราวที่สะท้อนการทำงานของเจ้าหน้าที่ และอาจจะมีการเข้าใจผิด หรือดำเนินการเก็บภาษีผิดขั้นตอน เมื่อสาวพนักงานห้าง ถูกกรมสรรพากร ยื่นฟ้องเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง 32 ล้านบาท ทั้งที่เจ้าตัวทำงานได้วันละ 300 บาทเท่านั้น
เมื่อรายได้รวมกันทั้งเดือนยังไม่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่นานก็มีหมายศาลมาที่บ้าน เรียกให้ไปพบอัยการ เจ้าตัวคิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร จึงเข้าร้องขอให้ทนายความช่วยเหลือ
โดยทางด้านน.ส.นันทวรรณ คุ้มศิริ อายุ 35 ปีทำงานเป็นพนักงานรายวันของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในย่านปู่เจ้าสมิงพราย ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ได้หอบเอกสารเข้าขอความเป็นธรรมกับ ดร.เกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ทนายความ ที่สำนักงานเกรียงศักดิ์และเพื่อนทนายความการบัญชี จำกัด ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 1287 ตลาดธรรมสาโรจน์ ถนนสุขุมวิท ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง สมุทรปราการ
เนื่องจากตนองกลายเป็นผู้ต้องหาถูกกรรมสรรพากรเป็นโจทย์ยื่นฟ้อง โดยกล่าวหาว่าตนเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท บีอีเอ็นซี จำกัด แจ้งว่า”แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ตามประมวลกฎหมายรัษฏากร” เป็นเงินถึง 32 ล้านบาท ทั้งที่ตัวเองทำงานเป็นพนักงานห้างสรรพสินค้า มีรายได้ 300 กว่าบาทต่อวันเท่านั้น ซึ่งต้องเช่าห้องอยู่ มีภาระต้องดูแลลูกอีก 4 คนและแม่อายุ 70 ปี ที่ต้องคอยดูแล หากตนเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทจริง ก็คงไม่ต้องมาทำงานเป็นพนักงานห้างสรรพสินค้าแบบนี้หรอก
โดยน.ส.นันทวรรณ คุ้มศิริ ได้เล่าให้ฟัง ทั้งน้ำตาว่า ตนตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายเรียก ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้ออกหมายเรียกให้ไปพบ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา แจ้งข้อความเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ฯ ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร ฯ ที่มีกรมสรรพากร เป็นโจทย์ยื่นฟ้องเรียกเก็บภาษีย้อนหลังเป็นเงินจำนวน 32 ล้านบาท กับ น.ส.นันทวรรณ ซึ่งถูกระบุว่า มีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท บีอีเอ็นซี จำกัด
ทั้งที่ น.ส.นันทวรรณ ไม่เคยเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว หรือมีตำแหน่งตามที่ถูกกล่าวหา แต่อย่างใด และยังมีหนังสือนัดส่งตัว ให้ น.ส.นันทวรรณ ไปพบพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญามีนบุรี 2 เพื่อฟังคำสั่ง หรือส่งตัวฟ้องศาล ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2563 เวลา 10.00 น.
ไม่รู้ว่าตนเองถูกสวมสิทธิ์หรือว่าเราไปพลาดอะไรตรงไหน อยู่ดี ๆ ก็มีหมายเรียกมาเมื่อ 4 ปี ที่แล้วเราก็ไปตามที่เขานัด และเราก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเพราะไม่ได้เป็นประธานกรรมการบริษัทตามที่ถูกกล่าวอ้าง แต่ล่าสุดเมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมาก็มีหมายเรียกส่งไปที่บ้านที่ต่างจังหวัด และแม่ตนเป็นคนรับหมาย ล
และให้ไปติดต่อกับตำรวจที่ทำคดีนี้ เราก็ไปหาตามหมายเรียกและก็ปฏิเสธเหมือน 4 ปีที่แล้วว่า เราไม่รู้เรื่อง และไม่เคยทำอะไรตามที่ถูกกล่าวหา แล้วตำรวจก็บอกว่า เดี๋ยวทำสำนวนเสร็จก่อนส่งอัยการ และก็จะโทรหา ซึ่งเขาก็บอกว่ามันก็นานอยู่กว่าจะทำสำนวนส่ง แต่เราไปเมื่อต้นเดือนยังไม่ถึงสิ้นเดือนเลย เจ้าหน้าที่ก็โทรมาบอกว่า ทำสำนวนเสร็จแล้ว เดี๋ยวเราไปพบอัยการกัน
และเขาก็บอกว่าคดีน้องมันก็ไม่น่ากลัวนะน้องใช้ชีวิตได้ปกติ ขอแค่ไม่ผิดนัด และมาตามนัดก็พอ แต่พอเราไปตามนัดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา เขาก็พูดอีกแบบเลย เขาพูดแบบว่าเรารู้สึกแย่ไปเลย เขาบอกว่าน้องรับได้หรือเปล่า คดีแบบนี้มันรุนแรงนะ มันเป็นคดีเศรษฐกิจ และถ้าเกิดน้องไม่มีเงินประกัน น้องติดคุกเลยนะ และเขาก็บอกว่าตนต้องไปศาลนะ
พอไปถามเขาว่าหลักทรัพย์ในการประกันตัวคดีหลีกเลี่ยงภาษีเท่าไหร่ ตนก็เดินไปถามเขาก็บอกว่าเงินประกันหลักทรัพย์ประมาณ 2 แสน ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะไปหาเงินมาจากไหน
ตนก็รับไม่ได้มันก็มีความคิดเขามาในหัวว่าตนอยากฆ่าตัวตาย นั่งร้องไห้ทุกวัน กินข้าวไม่ได้ตั้งแต่วันที่กลับมาจากศาลวันนั้น และก็นอนไม่หลับ จนต้องกินยานอนหลับ ตนเครียดจนไม่ไหวแล้ว มันร้ายแรงสำหรับคนจนที่หาเช้ากินค่ำและต้องมาเจอแบบนี้
ขณะที่ทางด้านทนาย ดร.เกรียงศักดิ์ ได้กล่าวว่า หลังจากนี้ที่ตนรับเรื่องมาแล้ว ดังนั้นในวันที่ 13 กรกฎาคม 2563 ก็ต้องไปที่อัยการ เพื่อทำคำร้องขอความเป็นธรรม คงต้องยื่นดู แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะยื่นในวันที่12 หรืออาจจะยื่นก่อน ที่จะขึ้นศาล เพราะว่าต้องการให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งตนจะทำคำร้องขอความเป็นธรรมขึ้นไป เราเอารายละเอียดให้อัยการฟัง ตนไม่อยากไปเสี่ยงในวันที่ 13 เกรงว่าหากอัยการสั่งฟ้องขึ้นมาและไม่มีเงินประกัน น้องเขาจะต้องเข้าเรือนจำ และเขาติดคุก
สำหรับคดีนี้ต้องใช้เวลานานหลายเดือน หรืออาจจะเป็นปี ซึ่งน้องจะติดคุกยาว ตนจึงต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไร เพราะตนช่วยในคดีนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว และตนก็ต้องไปคัดเอกสาร และพอรับคำฟ้องมันก็จะมีเลขทะเบียนของนิติบุคคล ซึ่งจะต้องตรวจสอบว่าน้องเขามีส่วนร่วมในกระบวนการหรือไม่อย่างไร ซึ่งตนก็ยังไม่เชื่อน้องเขาทีเดียว มันก็ต้องตรวจสอบ เพราะน้องเขามาร้องขอความเป็นธรรมและเขาก็ไม่มีเงินเลย และไม่รู้จักกับบริษัทที่ถูกกล่าวหาเลย ตนก็ต้องมาคัดเอกสารดู
แต่ที่คัดเบื้องต้นยังไม่พบชื่อของน้องเขาเป็นประธานกรรมการแต่อย่างใด ซึ่งตรงนี้ตนก็ต้องทำเอกสารไปยื่นต่ออัยการ เพื่อให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง สุดท้ายถ้าเข้าสู่ระบบการของศาลแล้ว ตนเชื่อว่าศาลยกฟ้อง แต่ระหว่างนั้นก็หาวิธีขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือใช้ กำไล EM เพราะมีสิทธิ์ที่จะร้องขอศาลซึ่งตนจะลองขอดู ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่ในดุลพินิจของศาล คือเขาไม่ผิดก็ไม่อยากให้เขาติดคุก เพราะน้องเขาไม่รู้เขาเป็นชาวบ้านธรรมดาเขาไม่รู้ว่าจะหาเอกสารอะไรไปชี้แจง