(1) 18 มี.ค. 63 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย แถลงสถานการณ์ COVID-19 ผู้ป่วยสะสม 212 คน เพิ่มขึ้น 35 คน กลับบ้าน 42 คน เสียชีวิต 1 คน
(2) โดยมีความน่าสนใจอยู่ที่ กลุ่ม 1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับสนามมวย 13 คน ทั้ง กรุงเทพฯ ขอนแก่น สมุทรปราการ เชียงใหม่ สุโขทัย นครราชสีมา กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด
(3) อาการหนักรายใหม่ 2 คน รายแรกเป็นชายไทย อายุ 49 ปี เริ่มป่วย 8 มีนาคม 2563 อยู่โรงพยาบาลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ใส่ท่อช่วยหายใจ
(4) รายที่ 2 เป็นชายชาวเบลเยียม อายุ 67 ปี เดินทางมาจากเบลเยียม ใส่ท่อช่วยหายใจรักษาตัวที่โรงพยาบาลในจังหวัดเพชรบูรณ์
(5) 17 มี.ค.63 เทศบาลตำบลโพธิ์เสด็จ อ.เมือง นครศรีธรรมราช ประกาศทางเฟซบุ๊ก พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อในพื้นที่ พักรักษาตัวในโรงพยาบาล
(5.1) มีการกักตัวบุคคลในครอบครัวและผู้ใกล้ชิด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
(5.2) พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ เป็นชายอายุ 33 ปี คลุกคลีอยู่เวทีมวยเดียวกับกลุ่มผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯ
(5.3) ผู้ป่วยนั่งรถตู้ไปกลับกรุงเทพฯกับเพื่อน 6-7 คน ก่อนกลับจากเวทีมวยมาที่นครศรีธรรมราช 8 มีนาคม
(5.4) จากนั้นไปนอนค้างที่อื่น 2 คืน ก่อนกลับบ้าน และระหว่าง 8-14 มีนาคม ตระเวนไปเล่นพนันชนไก่ ชนโค ในสนาม มวยตู้หลายแห่ง และเข้าสถานบันเทิง
(5.5) ทำให้ทุกสนามที่ผู้ป่วยเดินทางไปเล่นพนันถือเป็นกลุ่มเสี่ยง ส่วนผู้ใกล้ชิดนอกเหนือจากวงพนันมี 3 คน คือ พ่อ น้องชาย และน้องสาว
(6) 18 มี.ค.63 นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา เปิดเผยในขอนแก่น พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเป็นชาย 1 ราย และเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่ในสนามมวยลุมพินี
(6.1) จากการสอบสวนเบื้องต้น ชายคนดังกล่าวไม่ได้เดินทางมาด้วยรถโดยสารสาธารณะ หรือ เครื่องบิน
(7) นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นรวดเร็ว เป็นผลจากคัดกรองครอบคลุมไปยังกลุ่มคน หากเป็นเช่นนี้การระบาดในประเทศจะเป็นวงกว้างควบคุมไม่ได้
(8) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร พบผู้ป่วยยืนยันในไทย 212 คน 70% เป็นคนไทย ขณะ 30% ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น
(8.1) กรณีสนามมวย 40 คนส่วนใหญ่อยู่ใน กทม. ที่เหลืออยู่ใน สมุทรปราการ ขอนแก่น นครราชสีมา ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์
(9) 18 มี.ค.63 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดถึงระยะที่ 3 เป็นการแพร่ระหว่างคนที่ 2 คนที่ 3 และต่อๆไป หากเป็นอย่างอู่ฮั่นต้องปิดเมือง ก็ต้องทำ
(9.1) รัฐบาลกำลังเตรียมระยะที่ 3 ซึ่งมาตรการระดับที่ 4 เตรียมการในเรื่องของสถานที่
(9.2) ทั้งเตียง โรงพยาบาลทหาร โรงพยาบาลเอกชน และโรงแรมบางแห่ง ก็ต้องใช้เป็นสถานที่กักตัว
(10) ขณะมีการสรุปโมเดลโรคระบาดแบบมีตัวเลขจากดร.สมเกียรติ โอสถสภา ซึ่งเรียบเรียงโดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย
(10.1) ถ้ามีรายงานผู้มีเชื้อป่วยหนึ่งราย ตัวเลขผู้ติดเชื้อจริงคือ 30 คน นั่นคือ ห่างกัน30เท่า อีก 29 คนคือผู้ไม่แสดงอาการ ไม่ป่วยที่ใช้ชีวิตตามปกติ แต่ปล่อยเชื้อออกไปได้ทุกวัน ทุกเวลาโดยตนเองก็ไม่รู้
(10.2) ทำแบบนี้ถึง 37 วัน วันหนึ่งทำให้คนติดเชื้อได้ 2 ถึง 6 คน คิดเลขดูว่าคนที่ไม่แสดงอาการ ไม่ป่วยจะแพร่เชื้อต่อเท่าใด
(10.3) นี่คือการระบาดแบบ Exponential มีคนเข้าโรงพยาบาลน้อย แต่สร้างซอมบี้ได้เป็นกองทัพ ตลอดสองเดือน
(10.4) สองเดือนผ่านไป ก็จะ outbreak ระเบิดขึ้นมีคนป่วยมากมาย โดยบอกไม่ได้ว่าติดมาจากใคร
(10.5) สนามมวย ค่ายทหาร สนามบิน ร้านค้า โรงเรียน สนามกีฬา งานบวช งานแต่ง เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ ธุรกิจหยุดชะงัก
(10.6) ในประเทศมีพาหะส่งเชื้อไวรัส ในคน 100 คน คน 80 คนจะไม่ป่วย แต่จะมีคนป่วยที่ป่วยจนเข้าโรงพยาบาล 20 คน ในนั้นจะอาการหนักราว 5 คน
(10.7) คิดรวมทั้งประเทศก็หลายล้านคน!?! ก่อนที่ดร.สุวินัย จะระบุถึงการเตรียมพร้อมเข้าสู่ระยะที่ 3 ของไทย
(11) คนที่ติดเชื้อนับแต่วันนี้ถ้ามีเป็นจำนวนมากพร้อมๆ กัน คงต้องเตรียมทำใจ จะต้องอยู่ในรพ.สนามชั่วคราวแทน
(12) ดังนั้นแผนสู้ศึกระยะ 3 ที่ลงรายละเอียด ต้องรีบเร่งประกาศออกมาเพื่อให้ทุก ๆ องคาพยพของรัฐรับทราบ
(13) นี่คือสิ่งที่น่าติดตามเมื่อผู้ป่วยได้กระจายออกไปสู่ต่างจังหวัดแล้ว นั่นก็หมายความว่า การแพร่ระบาดของไวรัสก็จะรวดเร็ว รุนแรงมากขึ้น
(16) และนั่นก็อาจเป็นตัวชี้วัดว่าจะมีการประกาศเข้าสู่ระยะ3ด้วยหรือไม่ และเมื่อถึงตอนนั้นอาจจะต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยนายกฯมีอำนาจเต็มสั่งการผู้ว่าฯอย่างเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด!?!
#ปอกเปลือก#ปอกให้เห็นความจริง