แถลงการณ์​”ทิศทางไทย​”ถึงรัฐบาลบิ๊กตู่ :ข้อเสนอแนะต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ​ในสถานการณ์วิกฤต​ Covid-19

0

แถลงการณ์สถาบันทิศทางไทยถึงรัฐบาลและสังคมไทย

เรื่องข้อเสนอแนะต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในสถานการณ์วิกฤต​ Covid-19

สืบเนื่องจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล​ 100,000 ล้านบาทซึ่งเป็นมาตรการตามปกติในยามที่เศรษฐกิจหดตัวที่ต้องมีการดำเนินนโยบายทางการคลังแบบขยายตัว​ (Expansion​ Monetary​ Policy) นโยบายดังกล่าวมีขึ้นเพื่อทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในภาวะชะลอตัวในหลายภาคส่วนและมุ่งช่วยเหลือเกษตรกรคนยากจนคนตกงานซึ่งมีผลดีในการเยียวยาความเดือดร้อนในระยะสั้น

สถาบันทิศทางไทยในฐานะองค์กรภาคประชาสังคมตระหนักในความหวังดีของรัฐบาลที่มีต่อประชาชนแต่ก็มีข้อสังเกตที่ขอนำเสนอต่อสังคมไทยและรัฐบาลไทยดังนี้

1. การช่วยเหลือประชาชนดังกล่าวไม่อาจก่อผลทวีคูณทางเศรษฐกิจและกระตุ้นการหมุนเวียนได้มากเมื่อเทียบกับตัวเงินที่ลงไปมหาศาลเพราะเป็นการจับจ่ายในภาวะที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัส Covid​-19​ ทำให้โรงงานและระบบการผลิตหยุดชะงักลงจึงยากที่จะเกิดการหมุนเวียนได้จริง

2. ความจำเป็นเร่งด่วนในวิกฤต Covid-19 คือต้นตอของปัญหาทางเศรษฐกิจภาครัฐควรนำเงินดังกล่าวมาแก้ไขปัญหาฉุกเฉินนี้เป็นลำดับแรกสุด

จากงบประมาณปี​ 2563​ กระทรวงสาธารณสุขได้งบประมาณ 1.38 แสนล้านแต่งบประมาณการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019​ อยู่เฉพาะในส่วนของ​ “โรคอุบัติใหม่เท่านั้น  ซึ่งสิ่งที่ได้ทำไปแล้วก็คือการอนุมัติให้โรคโควิด-19 อยู่ในประเภทและขอบเขตบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) โดยมีงบประมาณ

1. งบประมาณจำนวน 1,020 ล้านบาทเพื่อใช้สำหรับการเบิกจ่ายในกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของหน่วยบริการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ​ (สปสช.)

2.​ (จะ)ขอเพิ่มงบกลางปีจำนวน 3,500 ล้านบาท มาใช้เป็นค่ารักษาโรคนี้ในช่วง 7 เดือนที่เหลือของปีงบ                 ประมาณ 2563

3.​ โครงการ​ “พลังคนไทยร่วมใจป้องกันไวรัสโคโรน่า” 225​ ล้านเพื่อผลิตหน้ากาก

4.​ กองทุนรับบริจาคโควิด-19​ (เพื่อให้ครม.บริจาคเงินช่วยเหลือได้โดยไม่ติดขัดข้อระเบียบปฏิบัติ)​

(หมายเหตุ​: ตัวเลขค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย​(ตามจริง)​ อยู่ที่​ 80,000​ บาท(ขั้นต่ำ)​ และในบรรดาผู้ป่วย​ 48​ รายมีเพียงรายเดียวที่มีสิทธิใช้บัตรทอง)​

ทั้งนี้รัฐบาลควรมีแบบจำลองของการแพร่ระบาดในประเทศที่ชัดเจนเพื่อประเมินการรับมือและการบริหารจัดการวิกฤติได้อย่างถูกต้องโดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณต่อบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเป็นลำดับแรกเพราะเป็น​ “แนวหน้าในวิกฤต​ Covid-19 หากแก้ไขปัญหาได้ไวการติดเชื้อไม่ขยายตัวผลในทางเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วเองแบบในกรณีประเทศจีน

3. โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวใช้เม็ดเงินมหาศาลเป็นการให้เปล่าซึ่งหากนำไปพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรรองรับวิกฤตทั้งช่วงสั้นและช่วงยาวจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะวิกฤตที่ภาคชนบทกำลังดูดซับแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ปิดตัวลงจากผลกระทบของวิกฤตการกวาดล้างทางเศรษฐกิจจากเทคโนโลยีใหม่และวิกฤต​ Covid-19   รวมถึงการจัดการวิกฤตภัยแล้งที่จะเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเมื่อเกิดวิกฤต Covid-19​ ซ้ำเติม   

ซึ่งจากตัวเลขผลกระทบต่อภาคเกษตรในปี​ 2562​ มีพื้นที่เสียหาย​ 19​ จังหวัดเกษตรกรได้รับผลกระทบ                100,041 รายพื้นที่เสียหาย​ 990,792 ไร่แบ่งเป็น ข้าว​ 878,751 ไร่, พืชไร่​ 111,546 ไร่พืชสวน​ 495 ไร่มูลค่าความเสียหาย​ 1.1​ พันล้านบาท

ประเมินผลกระทบในเบื้องต้นของสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2563 อาจทำให้ผลผลิตอ้อยลดลงจาก 131 ล้านตันอ้อยเหลือ 75 ล้านตันอ้อย​ (กว่า40%)​ สำหรับภาพรวมจะเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 17,000-19,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 0.10-0.11% ของ GDP​

ซึ่งตัวเลขนี้เป็นการประเมินโดยไม่รวมสถานการณ์วิกฤต​ Covid-19​ เข้าไปด้วยซึ่งหากผลกระทบต่อภาคเกษตรเกิดขึ้นเป็นวงกว้างความหนักหน่วงของปัญหาทางเศรษฐกิจที่ตามมาก็จะมากยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจในปี​ 2540 ซึ่งในครั้งนั้นภาคเกษตรไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

สถาบันทิศทางไทยจึงขอฝากความห่วงใยและแสดงความคิดเห็นเป็นข้อทักท้วงแก่สังคมและรัฐบาลเพื่อร่วมกันฟันฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

สถาบันทิศทางไทย