จากกรณีวันนี้(2มี.ค.63) วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ถึงการชุมนุมของนักเรียน-นักศึกษาโดยปรากฏตามภาพข่าวที่พบว่า มีการถือป้าย-ชูป้ายชุมนุมในลักษณะถ้อยคำที่หยาบคาย ไม่สุภาพว่า
“มิจฉาวาจา..นำมาซึ่งความพ่ายแพ้”
ถ้าไม่มี “สัมมาวาจา” (วาจาที่ถูกต้อง) หมายถึง การเว้นจากการพูดเท็จ หยาบคาย ส่อเสียด และเพ้อเจ้อ…แต่กลับมี “มิจฉาวาจา” ก็ยากที่จะบรรลุผลแห่งการกระทำ
ไม่เพียงเท่านั้น..มันจะดึงดูดมิจฉาวาจาอื่นๆตามมาไม่สิ้นสุด และมันจะกำหนดชะตาชีวิตให้เป็นไปตามมิจฉาวาจานั้น..ชั่วกาลนาน
ต่อให้เถียง – ปฏิเสธ – หรือเปลี่ยนศาสนาก็ไม่อาจหลบหนีไปได้
เพราะมันหมกหมมฝั่งลึกอยู่ในใจ ที่เรียกว่า “อนุสัย” ที่แปลคร่าวๆว่า สันดาน
ดังนั้นจึงระลึกถึง “วาจาสุภาษิต” ซึ่งเป็นวาจาที่ไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียน (แต่คนถ่อยชอบและสนับสนุน) คือ
- วาจานั้นกล่าวถูกกาล
- เป็นวาจาที่กล่าวเป็นสัจ
- เป็นวาจาที่กล่าวอ่อนหวาน
- เป็นวาจาที่กล่าวประกอบด้วยประโยชน์
- เป็นวาจาที่กล่าวด้วยเมตตาจิต
อยากเห็นการ “คิด – พูด – ทำ” อย่างมีสติ…ให้สมกับคำโอ้อวดว่า “ตนรู้ดีรู้ชั่ว และมีวุฒิภาวะ”
ทั้งนี้เมื่อข้อความของนักเขียนซีไรต์เผยแพร่ออกไป ก็มีคนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างน่าสนใจ เช่น
ควรไม่เอาทหารด้วย ควรให้ประชาชนตัดสินและรับผิดชอบเอง ผ่านการเลือกตั้ง
ต่อมา วิมล เข้ามาตอบคำถามด้วยตัวเองว่า…
“…ผมก็ไม่ได้บอกว่าเอาทหาร ลอบฆ่ากันตายมากมายแม้กระทั่งเด็ก ไม่มีใครทำให้สงบได้ ทหารก็มา
ผมไม่ได้ต้องการทหารยึดอำนาจ แต่ผมก็ไม่มีน้ำยาที่จะไปห้ามคนฆ่ากัน จนเป็นสงครามกลางเมือง
และผมก็ไม่เห็นมีใครเก่งไปห้ามได้
ส่วนเรื่องการเอาเรื่องเก่าว่าใครด่าถ่อยกว่ากัน ใครถูกหลอก ใครไม่ถูกหลอกก็ไม่ได้ทำให้ใครฉลาดขึ้น
ผมเขียนเตือนก็เพราะถ้าเอาแต่ด่าก็จะไม่ได้ใจคนทั่วไป นอกจากสะใจพวกตน และจะหมดความชอบธรรมลงเรื่อยๆ… คุณจะสู้อย่างไรให้ชนะถ้ามีเพียงแต่ นศ.?
กปปส.3ล้านคนยังไปไม่เป็น”
นั่นคือ เสียงเตือนของนักเขียนซีไรต์ ที่สะท้อนออกมาให้นักศึกษาที่เคลื่อนไหวอยู่ได้ตระหนักถึงคำพูดในการทำมวลชน หากเป็นมิจฉาวาจาก็อาจทำหมดความชอบธรรม นั่นเพราะไม่มีแนวร่วมอื่นหรือเสียแนวร่วม???
ประการสำคัญที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ การมองไปที่ปรากฏการณ์ม็อบกปปส.เมื่อช่วงปี2556-2557 ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์การชุมนุมของประเทศด้วยการที่มีคนร่วมมากที่สุด
กระนั้นแม้กปปส.จะมีมวลชนเข้าร่วมถึง3ล้านคน ก็ไม่สามารถที่จะชนะหรือทำอะไรได้มากไปกว่านั้น ในขณะที่มีเหตุความรุนแรงมากขึ้น ถึงขั้นเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้าอันจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง!?!
แต่ในที่สุดทหารก็ออกมาหลังมีการเชิญแกนนำนักการเมืองและแกนนำมวลชนทุกกลุ่มสีเข้าพูดคุยร่วมหาทางออก หากแต่ท้ายที่สุดฝ่ายการเมืองก็ไม่ยอมตามเงื่อนไขที่พล.อ.ประยุทธ์เสนอขึ้น จนนำมาซึ่งการเข้าควบคุมอำนาจ?!?
ดังนั้นจึงอยากให้นักศึกษาที่กำลังเคลื่อนไหวได้พิจารณาเสียงเตือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้เท่าทันบางฝ่ายที่จะหลอกใช้เพื่อล้มรัฐบาล ว่าอย่าตกเป็นเครื่องมือคนเหล่านั้น???