(29มิ.ย.63) มีความเคลื่อนไหวจากทางเฟสบุ๊ค Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า.. #ระบอบเผด็จการตัวจริงธุรกิจการเมือง
จากการที่คณะราษฎรทำการปล้นพระราชอำนาจและฉกฉวยอธิปไตยของปวงชนมาเป็นของคณะตัวเอง ได้ก่อให้เกิดลัทธิรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยจอมปลอม แต่ไส้ในกลับเป็นเผด็จการภายใต้อิทธิพลของคนกลุ่มน้อยด้วยการใช้รัฐประหารเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจ และรัฐธรรมนูญในการรักษาอำนาจ เป็นรัฐธรรมนูญของเผด็จการ อันจะเห็นได้จากความขัดแย้งของคณะราษฎรด้วยกันเองตั้งแต่ในสมัยนั้น และความล้มเหลวของประชาธิปไตยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
แม้เวลาจะผ่านไปและมีการเข้ามาของกระแสทุนนิยมที่เป็นระบอบเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์ ระบอบเผด็จการในประเทศไทยหรือลัทธิรัฐธรรมนูญเองก็ได้มีการวิวัฒนาการโดยการเปลี่ยนรูปแบบไปเพื่อความอยู่รอดและรักษาระบอบเผด็จการ
ในยุคปัจจุบันหน้าตาที่แท้จริงของระบอบเผด็จการจึงอยู่ในรูปแบบของ “ธุรกิจการเมือง” ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแทบทุกพรรคการเมืองในปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็น “ธุรกิจการเมือง” ที่ตัวแทนของประชาชนกลับกลายเป็นร่างทรงของนายทุนพรรคการเมือง และท้ายที่สุดไม่ว่าพรรคไหนหรือฝ่ายใดจะได้มาเป็นรัฐบาลก็อยู่ในรูปแบบของ “ธุรกิจการเมือง” ไม่แตกต่างกัน เพราะต่างก็เอาประโยชน์ของพี่น้องประชาชนมาบังหน้า แล้วบริหารจัดการแบบเล่นพรรคเล่นพวกโดยมีผลประโยชน์ของนักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นตัวตั้ง หาใช่ประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้งอย่างที่ได้กล่าวอ้างกันในเวลาหาเสียงไม่
ฉะนั้นที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ผมจึงเคลื่อนไหวในฐานะของประชาชนคนหนี่งที่ไม่ได้ฝักใฝ่พรรคการเมืองใด ด้วยความที่ไม่มีพรรคการเมืองใดที่มีอุดมการณ์ที่ชัดเจน และสอดคล้องกับอุดมการณ์ทางการเมืองของผม
บทบาทสำคัญที่ผ่านมาจึงเน้นไปที่การออกมาต่อต้านทายาทสายตรงของลัทธิรัฐธรรมนูญ2475 ที่พยามหลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการก่อความรุนแรงซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เลวร้ายยิ่งกว่า “ธุรกิจการเมือง” เพราะเห็นชีวิตผู้บริสุทธิ์เป็นผักปลา สามารถใช้โซเชียลมีเดียระดมปลุกปั่นหลอกใช้เป็นเครื่องมือได้อย่างไม่มีความละอายใจใดๆ ในขณะที่นักระดมปลุกปั่นแกนนำประชาธิปไตยจอมปลอมเหล่านี้นั่งตากแอร์อยู่หลังหน้าจอคอมพิวเตอร์
แต่อย่างไรก็ตาม… “ธุรกิจการเมือง” ในฐานะระบอบเผด็จการตัวจริงก็ยังคงเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะถ้า “ธุรกิจการเมือง” ยังดำเนินอยู่เช่นนี้ ไม่ว่าใครหรือฝ่ายใดเข้ามาเป็นรัฐบาลก็จะยังคงเป็นรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการอยู่ร่ำไป
หากต้องการที่จะสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นจริงและจับต้องได้ ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการล้มล้าง “ธุรกิจการเมือง” แล้วทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน สร้างการเมืองใหม่ที่เป็น “การเมืองภาคประชาชน” ขึ้นมา
เปลี่ยน “ธุรกิจการเมือง” เป็น “การเมืองภาคประชาชน” “การเมืองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน”
เพราะ “การเมืองภาคประชาชน” นี้เท่านั้นที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากที่สุด และเป็นทางออกเดียวของพี่น้องประชาชนไทยทั้งประเทศ นำไปสู่ “การกระจายอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง” โดยการมีผู้แทนของประชาชนที่คิดถึงผลประโยชน์ของประชาชนด้วยกันเป็นที่ตั้ง ทำงานอยู่ในรัฐสภาด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ในการเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ เป็นกระบอกเสียงของพี่น้องประชาชนแทนที่จะเป็นร่างทรงของนายทุนพรรคการเมือง และทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชนด้วยกัน ไม่ใช่ “การกระจายอำนาจทางการปกครองที่แอบแฝงการล้มล้างการปกครอง” ของเครือข่ายอนาคตใหม่
นี่เป็นตัวอย่างของการบิดเบือนเรื่องการกระจายอำนาจที่เครือข่ายอนาคตใหม่ไม่มีความเข้าใจว่าการกระจายอำนาจมันกระจายอยู่แล้วในตัวมันเอง เพียงแต่ทุกวันนี้มันเป็น “ธุรกิจการเมือง” ที่ผู้แทนไม่ได้เป็นกระบอกเสียงของประชาชน แต่กลับเป็นกระบอกเสียงของนายทุนพรรคการเมือง เอาง่ายๆแม้แต่อดีตพรรคอนาคตใหม่เองก็มีนายทุนพรรค มีการแบ่งแยกชนชั้นภายในพรรค การโหวตก็ต้องโหวตตามใบสั่งของนายทุนพรรคไม่งั้นก็จะมีปัญหา และท้ายที่สุดพรรคอนาคตใหม่ก็ล่มสลายด้วยการครอบงำพรรคของนายทุนพรรคที่ผิดกฎหมายการเงินของพรรคการเมืองอย่างชัดเจน
แม้ทุกวันนี้อนาคตใหม่จะแปลงร่างเป็นพรรคก้าวไกลกับคณะก้าวหน้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใครอยู่เบื้องหลัง แถมยังเคลื่อนไหวประสานงานกันทั้งบนดินและใต้ดิน แต่ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ก็ยังคงเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม ที่ขาดความรู้และความเข้าใจทางการเมือง มีแต่ปริมาณในโลกโซเชียลเพื่อหลอกใช้มวลชน แต่ไม่ได้มีคุณภาพ จ้องแต่จะคอยปลุกม็อบรายวัน เป็นการเมืองแบบผิดๆที่ยัดเยียดความวิปริตบิดเบือนของลัทธิรัฐธรรมนูญอันคับแคบ ความเกลียดชัง และความรุนแรงให้กับสังคมไทย
ถ้าประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดีงามจริงๆ ประชาธิปไตยจึงต้องเกิดขึ้นอย่างสง่างาม สงบสุขและสันติ ด้วยการเคลื่อนไหวที่มีสติปัญญาและความรู้ องอาจกล้าหาญตรงไปตรงมา มีจิตอาสารับใช้ประเทศชาติและประชาชน ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ประกอบด้วยหลักการและหลักวิชาที่เป็นสากล
ดังนั้นแนวทางในการสร้างประชาธิปไตยของผมจึงมีความชัดเจนและจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นบันได 3 ขั้น
1.ต่อต้านลัทธิรัฐธรรมนูญ และทายาทลัทธิรัฐธรรมนูญที่พยามหลอกใช้มวลชนไปสร้างประชาธิปไตยจอมปลอมด้วยความแตกแยกและความรุนแรง
2.ล้มล้างระบอบเผด็จการ “ธุรกิจการเมือง” เปลี่ยนการเมืองเก่าเป็นระบอบการเมืองใหม่ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
3.ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนด้วยสันติวิธี มีความชอบธรรม และสง่างามภายใต้ขอบเขตของกฎหมายและหลักการสากล
และแน่นอน ผมพูดเสมอว่าผมเป็นพันธมิตรกับทุกฝ่าย เพราะผมเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยตัวจริงจะถือกำเนิดขึ้นได้จำเป็นต้องอาศัยความสามัคคีจากทุกคงคาพยพของสังคมไทยมาช่วยกัน หรือแม้แต่เครือข่ายอนาคตใหม่ผมก็ยินดีที่จะหันมาร่วมมือและผลักดันประชาธิปไตยร่วมกัน ถ้าหากกลับตัวกลับใจ หยุดการเมืองสกปรกที่โบราณล้าหลังด้วยการระดมปลุกปั่นจอมปลอมหลอกเด็กในโลกโซเชียล หยุดปลุกม็อบรายวันหวังใช้ความรุนแรงเพื่อการเปลี่ยนแปลงปลอมๆ ไปยัดเยียดให้คนนู้นคนนี้เป็นเผด็จการโดยที่ไม่เห็นระบอบ “ธุรกิจการเมือง” ที่เป็นระบอบเผด็จการตัวจริง ในขณะที่ตัวเองก็เป็นเผด็จการเพราะอาศัย “ธุรกิจการเมือง” ที่นายทุนยังคงครอบงำพรรคผ่านร่างทรงทั้งในและนอกรัฐสภา อีกทั้งยังเป็นทายาทสายตรงของลัทธิรัฐธรรมนูญ2475 ต้นแบบของการรัฐประหารและคณาธิปไตยในประเทศไทยกว่า 88 ปี
เพราะผมเป็นประชาชน ผมจึงสู้เพื่อประชาชนในฐานะประชาชนคนธรรมดา ไม่ได้เป็นสมาชิกหรือฝักใฝ่พรรคการเมืองใด ดังนั้นจงอย่าปั่นกระแสใส่ร้ายป้ายสีว่าผมเชียร์พลังประชารัฐ เพราะพลังประชารัฐเองในสายตาของผมก็เป็น “ธุรกิจการเมือง” เหมือนทุกๆพรรครวมถึงพรรคก้าวไกลด้วย แต่ส่วนพลังประชารัฐจะโอเคกับผมมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะ ศัตรูของศัตรูคือมิตรของเรา จึงไม่แปลกที่คนไม่เอาเครือข่ายอนาคตใหม่ เห็นความปาหี่จอมปลอมของนายธนาธร เห็นความบิดเบี้ยวบิดเบือนของนายปิยบุตร เห็นความโกหกตอแหลคุณของช่อ จะโอเคกับผม
แต่อย่างไรก็ดี ล่าสุดผมก็แอบมีความหวังต่อการเคลื่อนไหวของคุณหมอวรงค์ เดชกิจวิกรม ที่กำลังจะตั้งกลุ่มการเมืองขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านเครือข่ายอนาคตใหม่หรือลัทธิรัฐธรรมนูญ และให้ความรู้ความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนเพื่อผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยอย่างสร้างสรรค์ซึ่งมีความใกล้เคียงกันกับอุดมการณ์ทางการเมืองของผมตามที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น
อย่างน้อยที่สุดในเวลานี้ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณหมอวรงค์ในการทำการเมืองที่สร้างสรรค์ ผมเชื่อว่าด้วยศักยภาพและความรู้ความสามารถของคุณหมอวรงค์ หากองค์ประกอบอื่นๆเป็นใจ ก็คงได้เห็นคุณหมอวรงค์สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับสังคมไทยในอนาคตอันใกล้นี้
ดร.ศุภณัฐ
29 มิถุนายน พ.ศ. 2563
#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ