ในรายการ “ทิศทางไทยในช่วงเวลา 00.00 กับ สนธิญาณ” ทางช่องสถาบันทิศทางไทย เผยแพร่ผ่านทางยูทูป ทางด้าน “สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม”ได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ในกรณีกู้เงินนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 191.2 ล้านบาท ระบุว่า…
หลังจากที่มีการยุบพรรคอนาคตใหม่ กระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมก็ถือว่าได้ส่งแรงกระเพื่อมขึ้นอย่างมากมายมหาศาลทั้ง จากสองฝั่งสองฝ่าย นั้นก็คือฝ่ายที่สนับสนุนไม่ให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ กับฝ่ายที่สนับสนุนให้ดำเนินการไปตามขั้นตอนกฎหมาย การเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้วดูเหมือนว่าฝ่ายที่เคลื่อนไหวไม่ให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ได้เดินหน้าขยายความออกไปค่อนข้างกว้าง บรรดาคณาจารย์ต่าง ๆ ก็ออกมาเคลื่อนไหวชี้แจงแง่มุมข้อกฎหมายว่าการกู้เงินนั้นน่าจะทำได้ไม่น่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายแต่อย่างใด หรือผิดก็ไม่น่าถึงการยุบพรรค นี่ก็เป็นประเด็นที่ถกเถียงกัน แต่ก็มีหลายคนได้ออกตั้งคำถามเช่นกันว่ากฎหมายพรรคการเมืองนั้นชัดเจน เพราะพรรคการเมืองนั้นเป็นองค์กรมหาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่จะไปบริหารกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ ถ้าเป็นแบบนั้นต่อไปทุนใหญ่ทุ่มเงินอยู่เบื้องหลังการเลือกตั้งกระโดดมาตั้งพรรคการเมืองเอง เข้าบริหารและจัดการให้ยืมเงินทีละ1-2พันล้าน จะยิ่งไม่แย่กันไปใหญ่หรือ? เป็นคำถามที่มีการตั้งขึ้น หรือบางคนถึงกับประชดประชัน ถ้าพรรคการเมืองเหมือนกับองค์กรอื่น ๆ สามารถทำธุรกิจได้ กู้เงินได้ ก็สามารถที่จะเอาพรรคการเมืองเทรตในตลาดหุ้นได้อย่างนั้นหรือ?… นี่เป็นประเด็นการถกเถียงกัน
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือการเคลื่อนไหวทางสังคม ที่พูดกันว่าลงถนนไม่ถนน เคลื่อนไหวในรูปแบบใหม่ๆต่อไป แกนนำพรรคอนาคตใหม่เดิม ไม่ว่าจะคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คุณปิยบุตร แสงกนกกุล คุณพรรณิการ์ วานิช และอีกหลายๆคนจะเคลื่อนไหวต่อไปในนาม “คณะอนาคตใหม่” จะปลุกสังคมขึ้นสู้กับความอยุติธรรม ความไม่ถูกต้อง
ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือขบวนการนักศึกษาได้ออกมาขานรับ ซึ่งดูแล้วน่าตื่นเต้น เร้าใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้ง เกษตร ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ เดินหน้าไปแล้ว ศิลปากร รามคำแหง ศรีนครินทรวิโรฒ กำลังตามมา และอาจจะกระจายต่อไปอีก ซึ่งมีคนถามตน แลกเปลี่ยนสถานการณ์จะรุนแรง น่ากลัวหรือไม่ คำตอบที่ตนอยากจะเรียนก็คือ “ สังคมไทยประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน แน่นอนเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม มีกฎหมายเป็นแกนหลักในการที่จะรักษาโครงสร้างทางสังคมไว้ ”
สังคมจะเดินต่อไปได้หรือไม่ได้จะต้องเกี่ยวพันธ์กับผู้คนในระดับต่าง ๆ ในระดับที่แตกต่างกันทั้งการทำงาน สาขาอาชีพ รายได้ การทำงานในลักษณะต่าง ๆ หรืออาจจะเรียกว่าชนชั้นเป็นองค์ประกอบกัน ซึ่งภายใต้องค์ประกอบนี้ ยึดโยงไปสู่องค์ประกอบในการสัมพันธ์กับนา ๆ ชาติที่จะต้องค้าขายเกี่ยวข้องเชื่อมโยง มีนโยบายต่างประเทศที่จะต้องมีการจัดการระบบให้สัมพันธ์กัน จึงไม่ใช่เรื่องที่แค่ความรู้สึกนึกคิดง่าย ๆ ว่าอะไรจะเป็นอะไรอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียว แต่ถ้าผู้คนในสังคมส่วนใหญ่มีความเห็นร่วมกันว่าสังคมไทยควรจะเป็นไปทางไหน แล้วเขาพร้อมที่จะเผชิญและรับกับชะตากรรมแบบนี้ สิ่งนี้เป็นเรื่องปกติที่จะต้องยอมรับการตัดสินใจ
ตัดกับมาที่นักศึกษาที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ขณะนี้ ลูก ๆ หลานอยู่ในช่วงวัย 18-23 ปีโดยประมาณ สิ่งที่เกิดขึ้นคือไฟอันเร้อน ตนขอทวนประวัติศาตร์ขบวนการนักศึกษาและการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาให้ได้เห็นภาพกันอีกครั้งหนึ่ง โดยหัวข้อที่ได้เกรินไว้คือ “นิสิตนักศึกษา พลังบริสุทธิ์ การหลอกลวง เจ็บปวดและความเป็นไปของประเทศชาติ” นี่เป็นคำเตือนจากตน …สนธิญาณกล่าว
ด้วยเหตุผลขบวนการนักศึกษาก่อรูปขึ้นเพราะไม่พอใจในการปกครองของระบอบ ‘จอมพลถนอม-จอมพลประภาส‘ที่เผด็จการมาอย่างยาวนาน ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จประชชนเรียกร้องหาประชาธิปไตย สภาวะนั้นสังคมทั้งสังคมรู้สึกเหมือนกันเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า‘จอมพลถนอม-จอมพลประภาส‘อยู่นานและมีคำนาจมากเกินไปแล้ว เมื่อนิสิตนักศึกษาจุดประกายขึ้น สภาวะของการเคลื่อนไหว การเข้าร่วม จึงมีอย่างมากมาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ครั้งนั้นเกิดการปะทะกันระหว่างกองทัพ ตำรวจ และนักศึกษาประชาชน ซึ่งการปะทะครั้งนั้นมีแผนการ มีการจัดการเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือจากกลุ่มทหาร ตำรวจ กลุ่มอำนาจเดิมที่ไม่พอใจ‘จอมพลถนอม-จอมพลประภาส‘ รอจังหวะเวลาโอกาสในการที่จะผลักดันให้เกิดสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงขึ้น เพื่อตนเองจะขึ้นครองอำนาจต่อ ประชาชนและนิสิตนักศึกษาก็เหมือนเป็นเครื่องมือ แต่นั้นก็คือชัยชนะของประชาชนที่ได้เกิดขึ้นแม้จะมีขบวนการต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลากหลายขบวนการ หลายกลุ่มอำนาจก็ตามแต่
หลังจากเหตุการณ์ 14ตุลาฯ ขบวนการนักศึกษาตื่นตัวขึ้นอย่างกว้างขว้าง บรรยากาศประชาธิปไตยเกิดขึ้นอย่างมากมาย สถานการณ์ในขณะนั้นสอดคล้องกับสถานการณ์อินโดจีน ที่จีน รัสเซีย เข้ามาสนับสนุนเวียดนาม ลาว เขมร ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงนำพาประเทศเหล่านั้นเข้าสู่การปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ชูธงและขยายการต่อสู้ออกไปอย่างหลากหลายเงื่อนไขที่สำคัญมาจากการโง่เง่าของอำนาจรัฐที่ไม่เข้าใจความเป็นจริงในขณะนั้น คือการไปปราบปราม เข่นฆ่าประชาชน ซึ่งประชาชนยิ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมก็เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกันพรรคคอมมิวนิสต์ก็เข้ามาจัดตั้งขบวนการนักศึกษาที่อยู่ในเมือง ไม่ว่าจะเป็นองค์นักเรียนที่อยู่ตามโรงเรียนต่าง ๆ ภายใต้ศูนย์นักเรียน องค์กรนิสิตนักศึกษาภายใต้ศูนย์นิสิตนักศึกษา ซึ่งไม่ได้ความว่าทุกคนจะถูกพรรคคอมมิวนิสต์จัดตั้งครอบงำหมด บรรยากาศโดร่วมได้ไป บรรยากาศการจัดตั้งนี้เรียกว่า แบบลึกๆ ลับๆ นักศึกษาในขณะนั้นศึกษาทางการเมืองกันอย่างเข้มข้น เอาจริงเอาจัง วิเคราะห์สถานการณ์ของประเทศ ความเป็นไปของโลก กำหนดนโยบายในการต่อสู้ ทุกคนตื่นตัว นักศึกษาเคลื่อนตัวออกสู่ชนบทไปสัมผัสกับประชาชน ชาวไร่ ชาวนา ที่ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบ ไปสัมผัสกับกรรมกร
แต่ด้านหนึ่งการช่วงชิงอำนาจของฝ่ายที่ต้องการอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทหารกันเอง หรือกลุ่มการเมืองดังเดิมที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่2475 กลุ่มซอยราชครู ต่อสู้กันอย่างมากมาย สถานการณ์ได้มาระเบิดขึ้นในวันที่ 6ตุลาคม 2519 มีหลักฐานมากมาย หลายส่วนหลายฝ่ายโดนเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ พวกซ้ายไดโนเสาร์ที่ค้างคาพยายามยึดโยงและดึงเรื่องนี้ไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วคือการช่วงชิงอำนาจของกลุ่มซอยราชครูที่เข้ามาควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกเสือชาวบ้านยึดโยงมาในส่วนที่ตนเองเป็นรัฐมนตรี เชื่อมโยงกับทหารที่ต้องการมาปฏิวัติยึดอำนาจเพื่อฟื้นฟูอำนาจของซอบราชครูกลับมา หลายส่วนเชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์มีส่วนที่ต้องการให้เกิดความรุนแรงครั้งด้วย เพราะก่อนหน้านั้นนักศึกษาที่อยู่ภายใต้กระบวนการจัดตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้ทยอยเข้าป่าเรื่อย ๆ ภายใต้ปรากฎหารที่บอกว่าแดงแล้ว คือการอยู่ในเมืองไม่ได้แล้ว สมาชิกพรรคหรือจัดตั้งคอมมิวนิตส์ถ้าอยู่จะถูกปราบปราม เข่นฆ่า เพราะฉะนั้นเข้าป่า จับปืนต่อสู้ ได้ทยอยมาเป็นลำดับ
หลังเหตุการณ์ 6ตุลาฯ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้รับขบวนการนักศึกษา ประชาชน ที่ทะลักเข้าป่าอย่างมากมายหลายพันคน เพราะไม่สามารถทนกับการเข่นฆ่า การบีบคั้น การกดดัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากอำนาจรัฐที่มีการแฝงเร้น ซ้อนทับกันอยู่ในหลายประเด็น นักศึกษาเหล่านี้เข้าป่าไปใช้เวลา 3-7 ปี ท้ายที่สุดทยอยออกมาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยล้มสลายลง ด้วยเหตุผลเพราะว่าพรรคคอมมิวนิสต์สากลระหว่างจีนกับรัสเซียแตกแยกกันเอง มีการช่วงชิงอำนาจกันเองในเขมร ประเทศไทยได้รับผลกระทบอันนี้ เราได้มีการเชื่อมโยงไปที่จีน เพื่อที่จะคานอำนาจกับเวียดนาม รัสเซีย จนเกิดสงครามสั่งสอน ที่จีนมาสั่งสอนเวียดนามสกัดกั้นไม่ให้เวียดนาม กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยบางส่วนที่อยู่ในสายเวียดนาม บุกประเทศไทย …นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแตก
นักศึกษา ประชานชจำนวนมากที่เข้าป่าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทยอยออกจนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยล่มสลาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ออกมามีบทเรียนสรุปเหมือนกัน ก็คือประสบการณ์ยังน้อย ไม่ได้เรียนรู้ความเป็นจริง ความเป็นไปของสังคม ของโลก ซึ่งเป็นอีกย่างหนึ่ง ไม่ได้เป็นตามการวาดหวังของอุดมการณ์ที่คิด หลายคนออกมาเป็น NGO ออกมาทำธุรกิจ มาเป็นนักการเมือง มาสร้างความฝันที่เคยมีความฝันที่ไม่ได้เลื่อนหายไปเดินหน้าต่อไป
ในช่วงยุคปี18-19 ตนยังเป็นนักเรียนอยู่ในชั้นมส.4-5 แต่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับขบวนการของพรรคคอมมิวนิสต์แล้ว มาอยู่รามคำแหงตนเป็นนักศึกษารุ่นแรกที่รับภารกิจเหมือนกับเพื่อนๆ อีกหลายคน ก็คือผลักดันขบวนการนักศึกษาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในเมืองเพื่อในการปลุกเร้าการต่อสู้กับรัฐบาลของพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ในขณะนั้น ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันและแล้วคนที่อยู่ในเหตุการณ์6 ตุลาฯ คนที่เคยเข้าป่าหรือคนที่ต่อสู้แล้วยังอยู่ในเมืองแฝงเร้นแบบพวกตน ได้ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาเป็นหลาย หมื่นคน ถามว่าคนเหล่านั้นหายไปไหน??
แน่นอนส่วนหนึ่งยังต่อสู้อยู่แต่การต่อสู้นั้นมีในหลากหลายรูปแบบ หลายคนไปบวช หลายคนทำงานNGO อุทิศตนเองให้กับส่วนรวมและประชาชน หลายส่วนก็ไปจับกับนักการเมืองโดยเฉพาะในสายของ”ทักษิณชินวัตร” ได้รับความเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยจากอดีตนักศึกษากลายเป็นมหาเศรษฐีนักการเมือง หลายส่วนเป็นอาจารย์ยังคลั่งแค้นติดค้างสถาบันฯ ไม่ได้พิจารณาศึกษาหาความจริง กลุ่มคนจำนวนนี้ จำนวนหนึ่งมาผลักดันพรรคอนาคตใหม่หลังจากความร่วงโรยของพรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณ
วันนี้พรรคอนาคตใหม่ขวัญใจคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นและเข้าไปสู่การปลุกเร้า จะเรียกว่าครบงำ หลอกลวงหรืออะไรก็ตามแต่ เด็ก ๆนักศึกษาอาจจะด่าว่า มึงไอ้แก่ ไอ้โง่เง่า ขาดอุดมการณ์ไปแล้ว หมดไฟไปแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่จะด่าว่าได้ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดปกติ แต่ทบทวนบทเรียนของคนรุ่นเก่าที่ต่อสู้ถึงขั้นเอาเลือดเนื้อเอาชีวิตเข้าแลก ถามว่าวันนี้คนเหล่านี้เขาแก่ เขาล้ากันหมดแล้วหรือ? ไม่ใช่ยังกระจายอยู่ในสังคมในส่วนต่าง ๆ ตนเองถูกกล่าวว่าเป็นขวาจัด พวกคุณก็ว่าไป แต่ตนก็มีวิถีชีวิตของตนในการดำรงอยู่กับสังคมกับผู้คนธรรมชาติศาสนาและวิธีคิดในการทำงานที่จะให้เกิดประโยชน์แก่สังคม ปัญหาที่ตนพูดมาและพูดอยู่เสมอ โลกกับประเทศต่างสัมพันธ์กัน โลกเปลี่ยนแปลง รู้หรือไม่มีใครของโลก มีใครซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ใช้ลัทธิประชาธิปไตย ขอย้ำว่าลัทธิประชาธิปไตยขัดแย้งกับความเป็นซ้าย คนที่เคยเป็นสายและมาบอกว่าเป็นประชาธิปไตย..ไม่ได้หรอก ซ้าย คอมมิวนิตส์ เกิดขึ้นในยุคที่ประชาธิปไตยในยุโรปเฟื่องฟู และคนที่สร้างลัทธิคอมมิวนิสต์มาร์ค เลนนินเห็นว่าประชาธิปไตยและทุนเหล่านั้นคือผู้ที่จะกดขี่ต่อเนื่องจากระบบศักดินามาสู่ทุนนิยม นี่คือกระบวนการที่จะต้องศึกษาและเรียนรู้
ยกตัวอย่าง ฮิวโก้ ชาเวซ ประธานาธิบดีเวเนซูเอล่า เป็นนักอุดมการณ์ ต่อสู้ยืนหยัดเพื่อประชาชนปฏิวัติพ่ายแพ้ แต่ปลุกเร้าประชาชนตื่นตัวด้วยอุดมการณ์ความรักชาติ ท้ายสุดได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แต่ทุกวันเวเนซุเอล่าเจ๋งอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะไม่มีประสบการณ์ในการเรียนรู้ความจริง ว่าจะต้องบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต้องบริหารเศรษฐกิจในประเทศความสัมพันธ์ที่ต้องเชื่อมโยงกันอย่างไรที่จะทำให้สังคมมีความแข็งแรง เวเนซุเอลามีน้ำมันมากมายวันนี้กลายเป็นประเทศที่ย่ำแย่ที่สุดที่เกินพรรณนา ผู้คนลำบากยากแค้นเพราะความบ้าคลั่งอุดมการณ์โดยไม่ได้ศึกษา นี่คือคำเตือนของชายแก่เคยผ่านบทเรียนมาบท
คนรุ่นก่อนเคยถูกหลอกมาแล้วและเต็มใจให้หลอกตนเองไม่เคยรู้สึกผิดเพราะได้ผ่านการปลุกเร้าอุดมการณ์และกระบวนการการเรียนรู้การศึกษานั้นมีคุณค่ามหาศาล
สิ่งที่อยากเรียนไปถึงลูก ๆ หลาน ๆนักศึกษาทั้งหลายก็คือว่าใช้ปัญญาเรียนรู้ความจริงไม่ใช่เชื่อใครง่ายๆไม่ใช่เป็นเรื่องของกระแสที่จะทำกันอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าจะทำไปก็ไม่เป็นอะไรเพราะสังคมไทยเป็นเรื่องที่เราอยู่ร่วมกันมีประเด็นไหนที่จะรุนแรงเกินไปก็ต้องเกิดการปะทะเกิดการต่อสู้เป็นไปอย่างปกติ