จากที่ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีกลุ่มนปช.บุกบ้านสี่เสาร์เทเวศร์ สืบเนื่องจากวันที่ 22 ก.ค.50 จากเวทีปราศรัย ท้องสนามหลวง เคลื่อนไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ บ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
ทั้งนี้เพื่อเรียกร้องกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว ได้มีการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ ซึ่งนายนพรุจ จำเลยที่ 1 ได้ใช้ไม้เสาธง ตี ร.ต.อ.ทวีศักดิ์ นามจันทร์เจียม เป็นเหตุให้กระดูกข้อมือแตกได้รับบาดเจ็บ โดยคดีนี้ศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก จำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี 8 เดือน
ส่วน นายนพรุจ จำเลยที่ 1 ศาลสั่งจำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2-3 ซึ่ง นายนพรุจ จำเลยที่ 1, นายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ , นายวิภูแถลง, นพ.เหวง แกนนำ นปช. จำเลยที่ 4-7 หลังจากก่อนหน้านี้มีเหตุต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้ว 4 ครั้ง
โดยศาลฎีกา พิเคราะห์จากพฤติกรรมและพยานหลักฐานแล้ว การที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลลงโทษสถานเบานั้นฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรง มีการเตรียมวางแผนไว้ล่วงหน้าในการนำกำลังมวลชนไปใช้กำลังประทุษร้าย
และต่อสู้ขัดขวาง การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนเกิดการปะทะกันและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง แม้ว่าตำรวจจะสั่งให้ยุติการชุมนุมถึง 3 ครั้งแต่ กลุ่มผู้ชุมนุมใช้ก้อนหินขว้างปาตำรวจ และการที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย ในการควบคุมสถานการณ์ถือว่าเป็นไปด้วยชอบแล้ว
ขณะที่นาย สมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย และอดีตผู้ต้องหามาตรา112 ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงเรื่องดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กด้วยว่า
ถ้าไม่ปฏิวัติประเทศไทย ก็ต้องอยู่กันอย่างบัดซบแบบนี้
สนธิ ลิ้มทองกุล ติดคุก 20 ปี อยู่จริงแค่ 3 ปี
สมยศ พฤกษาเกษมสุข ติดคุก 7 ปี อยู่จริงเต็ม 7 ปี
บุกสถานีโทรทัศน์ NBT ติดคุก 6 เดือน
บุกรอยัลคลิฟ พัทยา ติดคุก 4 ปี
ยึดทำเนียบรัฐบาล 8เดือนติดคุก 8 เดือน อยู่จริง 3 เดือน
ชุมนุมหน้าบ้านเปรม 4 ชั่วโมง ติดคุก 2 ปี 8 เดือน
หลัง24มิถุนายน 2475 อำนาจด้านนิติบัญญัติ และบริหาร เปลี่ยนผ่านมาสู่การเชื่อมโยงกับประชาชนได้บ้างบางครั้งบางครา สลับสับเปลี่ยนไปกับการรัฐประหารที่เหยียบหัวประชาชน ส่วนอำนาจตุลาการไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงสืบทอดมาจากการแต่งตั้งกันเอง และทำหน้าที่ตัดสินในพระปรมาภิไธยของกษัตริย์ ประธานศาลฎีกาเกือบทุกรุ่นหลังเกษียณก็เข้าดำรงตำแหน่งองคมนตรี กลายเป็นอำนาจเชิงซ้อน เอวังก็ด้วยประการเช่นนี้
แก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้สมควรยกเลิกองคมนตรีไปเลย แล้ว เปลี่ยนระบบศาลให้มาจากการเลือกตั้ง และใช้ระบบลูกขุนเข้ามาพิจารณาคดีแทนที่ระบบเก่าที่ผู้พิพากษาตัดสินคดีกันไปตามจารีตของการปกครองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ”
ที่มา : เฟซบุ๊ก Somyot Pruksakasemsuk