เสกสรรค์-วรรณสิงห์และสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์
ดร.เวทิน ชาติกุล สถาบันทิศทางไทย
ถาม “สงสัยว่าทำไมนักคิด นักเขียนอย่างวรรณสิงห์(คนรุ่นใหม่ที่ดูดี)ถึงมองเห็นและชื่นชมแค่วาทกรรมของอนาคตใหม่ ทำไมมองไม่เห็นด้านอื่นๆ? อะไรบังตา? อะไรบังใจ??
ตอบ ไม่มีอะไรบังตา หรือบังใจ อะไรหรือใครได้หรอกครับ นอกจากทิฐิของตัวเอง อุดมการณ์จะดีเลิศอย่างไรก็เป็นทิฐิแบบหนึ่ง จะคิดว่าเป็นสัมมาหรือมิจฉาทิฐิก็ตาม
เหมือนสมัยหนึ่ง เสกสรรค์ พ่อเขาก็เคยเป็นผู้นำลุกขึ้นสู้กับรัฐไทยด้วยความเชื่อแบบหนึ่ง(ที่ดี) สุดท้ายก็พบว่ามันมีอย่างอื่นที่สลับซับซ้อนจนเกิดวิกฤติศรัทธาขึ้นในพคท. เขาต้องออกมาพร้อมกับประกาศตนว่า “สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์”
ธนาธรทำได้ในสิ่งที่เสกสรรค์ทำไม่ได้ และเคยพ่ายแพ้ มาเมื่อครั้งยังหนุ่ม คือลุกขึ้นท้าทายรัฐไทย กลายเป็นคู่ปรับที่รัฐไม่อาจอยู่เฉย
วรรณสิงห์คงไม่ใช่คนที่จะลุกขึ้นเป็นผู้นำแบบพ่อ แต่เป็นคนที่อยู่ในแวดล้อมของคนรุ่นใหม่ที่น้ำดี (แบบ นิ้วกลม) ผมเข้าใจว่าเขาเป็นคนไปชักชวนพ่อมาให้ร่วมลงชื่อคัดค้านยุบพรรคอนาคตใหม่ สภาพแวดล้อมและปัจจัยวัตถุวิสัยที่รายรอบเขาอยู่ขณะนี้จะทำให้เขาเดินไปแบบเดียวกันแบบที่พ่อเคยเดินไปในขณะนั้น (ซึ่งเป็นเรื่องดีที่คนรุ่นใหม่ไม่เอออวยความอยุติธรรม (เหมือนที่วาทกรรมพวกเขาพยายามกล่าวหาว่าพวกเราที่อยู่ตรงข้ามกันเป็น-ก็เขาอาจเข้าใจอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขาเข้าใจไปเถอะ) แต่พึงต้องตระหนักว่านั่นก็คือทิฐิแบบหนึ่งที่ชักนำเขา(และเรา)อยู่
เขาเห็นโลกข้างนอกที่หลากหลายมามาก ความยอกย้อนซับซ้อนของสังคมการเมืองไทยมันก็อย่างหนึ่ง โลกในความคิดจิตใจมันเป็นอีกแบบหนึ่ง ถ้าเขาเห็นแต่ความผิดของรัฐไทย แต่ไม่เห็นความผิดและพลาด ความมีมิจฉาภายในขบวนการเองแบบที่พ่อเขาเคยเห็น ไม่อาจสรุปบทเรียนและขยายมุมมองที่ตัวเองมีต่อโลกนี้ให้ข้ามพ้นกรอบทิฐิและมิตรภาพที่ครอบงำเขาอยู่ไปได้ ถ้าการสู้รบกับอยุติธรรมของเขากร่อนกินเมตตาธรรมในใจเขาไปเรื่อยๆ เขาอาจกลายเป็น “สิ่งชำรุดทางจิตวิญญาณ” ที่มีบาดแผลสาหัสกว่าพ่อของเขาครับ
ด้วยความหวังดีจากใจจริง ผมภาวนามิให้เป็นเช่นนั้น