ทำไมจตุพรไม่ติดคุกร่วม4นปช.?บุกบ้านสี่เสาฯ ไขคำตอบคดีไปถึงไหนแล้ว

0

จากที่ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ชุมนุมปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 นั้น

ทั้งนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายนพรุจ หรือ นพรุฒ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006, นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน, นายวันชัย นาพุทธา, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานนปช., นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช., นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ

สำหรับคดีนี้มีการเลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้วรวม 4 ครั้ง การนัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2562 ปรากฏว่าครั้งนั้นนายวีระกานต์ จำเลยที่ 4 ป่วย จึงเลื่อนมาวันที่ 23 ก.ย. 2562 ซึ่งเกิดกรณีที่จำเลยที่ 4-7 ขอกลับคำให้การเดิมจากปฏิเสธสู้คดี เป็นขอรับสารภาพผิด ศาลอาญาจึงต้องส่งคำพิพากษากลับไปให้ศาลฎีกาพิจารณาใหม่ ก่อนศาลอาญาจะนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาในวันที่ 6 ก.พ. 2563

แต่วันดังกล่าวมีเหตุเลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกาอีกครั้ง เพราะนายนพรุจ จำเลยที่ 1 ได้ย้ายที่อยู่ ไม่สามารถส่งหมายนัดให้นายนพรุจได้ ศาลอาญาจึงเลื่อนนัดมาเป็นวันที่ 30 เม.ย. 2563 ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ศาลประกาศให้ใช้ดุลพินิจเลื่อนคดี เป็นเหตุให้ต้องเลื่อนนัดล่าสุดมาเป็นวันที่ 26 มิ.ย.นี้ เวลา 9.00 น.

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2558 ให้จำคุกนายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ฯ ส่วนนายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ, นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี 4 เดือน ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายฯ และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าพนักงานฯ และให้ยกฟ้องนายวีระศักดิ์ และนายวันชัย จำเลยที่ 2-3 ริบของกลาง

ต่อมาวันที่ 10 ม.ค.2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า พวกจำเลยมีความผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ ตามมาตรา 138 วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 1 ปี และมีความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายโดยเป็นหัวหน้าสั่งการ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ตามมาตรา 215 วรรคหนึ่งและวรรคสาม, มาตรา 216 ประกอบมาตรา 83

ทั้งนี้ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 215 วรรคสาม เพียงกรรมเดียว จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี 8 เดือน ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 จำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ยกฟ้องจำเลยที่ 2-3

ล่าสุดวันนี้(26มิ.ย.63) ศาลฏีกาได้อ่านคำพิพากษายืนให้จำคุกทั้ง 5 คน คนละ 2 ปี 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องนำผู้ต้องหาทั้งหมดไปเรือนจำต่อไป

ขณะในวันเดียวกันนี้ นายจตุพร พรมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ได้เดินทางมาให้กำลังใจ 5 แกนนำ นปช.ด้วยว่า ตนได้พูดเป็นสัจธรรมกับคณะว่า บนหนทางการต่อสู้ของพวกเรา ไม่ตายก็ติดคุก วันนี้ทุกคนที่ศาลได้อ่านคำพิพากษาจำคุกได้น้อมรับคำตัดสิน ในขณะที่ตนและคนอื่นที่เหลือในสำนวนที่สอง ที่แตกต่างกันเรื่องวันเวลา

“ในตลอด 10 ปี เราเข้า ออกคุกสลับกันเสนอ หลายคนไม่เข้าใจว่าคนที่ผ่านเรื่องราวกันมา จะมีพื้นที่น้อยมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมจะบอกกับสังคม ทุกฝ่ายทั้ง เสื้อแดง, เสื้อเหลือง, พธม. ,กปปส.อยู่บนวิถีทางที่ไม่แตกต่าง แต่ฝ่าย นปช.อาจจะติดคุกกันเป็นจำนวนมาก และหลายปีด้วยกัน

พวกผมน้อมรับคำตัดสินของศาล อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ก่อนเดินทางมาศาล เรามีการพูดคุยกันมาตลอด เรามีสองพื้นที่เท่านั้น เพียงแต่ต่างเวลากัน คือไม่ตายก็ติดคุก นี่คือสัจธรรมของชีวิต ซึ่งเกิดกับคนเสื้อแดง และเสื้อเหลือง บางคนถูกยึดบ้าน พิทักษ์ทรัพย์ ต้องเรี่ยไรหมู่มิตรมาช่วยไถ่ถอน ความทุกข์กันคนละอย่าง ผมยังเห็นว่า ทุกฝ่ายที่ต่อสู้กันมา อยู่ในห้วงความทุกข์ทั้งสิ้น”นายจตุพร กล่าว

ก่อนหน้านี้ คือเมื่อวันที่ 31 ก.ค.62 นายจตุพร ได้เดินทางมาพร้อมกับนายณัฐวุฒิในการขึ้นศาลของคดีบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ โดนคดีของตนเองนั้น แยกเป็นอีกสำนวนคดีหนึ่ง คงรอให้คำพิพากษาในคดีนี้ผ่านพ้นไปก่อน คดีบุกบ้านสาเสาเทเวศร์ เดิมมีจำเลยทั้งหมด 15 คน แต่อัยการได้ทำสวนยื่นฟ้องคดีมาก่อน 7 คน ส่วนสำนวนคดีชุดหลังมีจำเลยทั้งหมด 8 คน ซึ่งตนเองกับประชาชนอีกคนถูกฟ้องต่อศาลแล้ว ขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลชั้นต้น

“เส้นทางของพวกเรามี 2ทางเท่านั้น ไม่ตายก็ติดคุก เพราะฉะนั้นก็มาให้กำลังใจกัน ไม่ว่าจะเป็นใคร เราเป็นพี่น้องที่อยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วพวกเราคล้ายๆกัน คือ ยกชีวิตและอิสรภาพทั้งหมดให้กับการต่อสู้ ซึ่งเราน้อมรับคำตัดสินของศาลมาโดยตลอดอยู่แล้ว ส่วนการต่อสู้คดีของตนเองก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วแต่ดุลยพินิจของศาล”