อย่าให้การเมืองไทยเข้าสู่…อรุณรุ่งของพินอคคิโอ
รศ.ดร.แสงเทียน อยู่เถา นักวิชาการสถาบันทิศทางไทย
“อรุณรุ่งของพินอคคิโอ” มาจาก ๒ เรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันที่ถูกนำเสนอโดยพรรคการเมือง ๒ พรรค เกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กุมภาพันธ์ ดังนี้
เรื่องที่ ๑ : ยุทธการอรุณรุ่ง
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลบางส่วนดังนี้ “วันนี้พวกเรายืนยัน ไม่ได้พกความแค้น ความอึดอัดใจ ดังนั้น พวกเราขอตั้งชื่อคณะกรรมการพิเศษ และคณะที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ว่า “ยุทธการอรุณรุ่ง” แล้ววันข้างหน้าจะได้รู้ว่า เหตุใดจึงเรียกเช่นนี้ แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลในการอภิปราย และเชื่อว่าเมื่อเปิดข้อมูลออกมาแล้ว รับรองว่าสร้างผลกระเทือนถึงรัฐบาลอย่างแน่นอน ที่เสิร์ฟตอนนี้เป็นออเดิร์ฟ แต่เมนคอร์สจะไปเสิร์ฟในสภาฯ และพวกตนจะขอหัวหน้าพรรคว่าขอเป็น บก.ส่วนหลัง คนที่อยู่ในสภาฯก็ทำหน้าที่ในสภา ส่วนพวกตนจะอยู่ส่วนหลังคอยซัพพอร์ตข้อมูลให้ แล้วพวกตนจะไม่ทำตัวเบ๊อะบ๊ะ ส่วนพวกที่ทำตัวเป็นองครักษ์รู้หรือว่าเขาจะอภิปรายอะไร ทำเป็นจะเตรียมข้อมูล ดูแล้วเป็นนางงามตกรอบกันทั้งนั้น“ (เดลินิวส์ออนไลน์, ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓)
เรื่องที่ ๒ : โปรเจ็กต์พินอคคิโอ
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวภารกิจ “พินอคคิโอ” ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งได้เริ่มเตรียมการการอภิปรายมาโดยใช้รหัสเรียกภายในพรรค คือ “โปรเจ็กต์พินอคคิโอ” มีตนเป็นหัวหน้าทีม เหตุผลที่เลือกพินอคคีโอ เพราะตัวละครที่ทำผิดซ้ำซาก พยายามปกปิดความผิดของตัวเองไปเรื่อย จนเรื่องบานปลาย ท้ายที่สุดก็ปกปิดไม่ได้ อาจเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล ดังนั้นจึงเป็นปฏิบัติการกระชากหน้ากากพินอคคีโอ ให้ประชาชนรับรู้ถึงจมูกอันยืดยาว ข้อผิดพลาดของรัฐบาลในรอบ 6 ปี พรรคอนาคตใหม่มี ส.ส. ที่จะอภิปราย 16 คน โดย 1 คนของพรรคอนาคตใหม่จะอภิปรายในภาพรวม อีก 15 คน จะอภิปรายในรายประเด็นไม่ซ้ำกัน โดยเลือกอภิปรายไม่ไว้วางใจ 5 รัฐมนตรีจาก 6 รัฐมนตรีที่มีชื่ออยู่ในญัตติ (นิวทีวีออนไลน์, ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓)
ความสอดคล้องไปของพรรคการเมืองทั้งสอง จึงไม่น่าจะแปลกใจอะไร เพราะก็ต้องสร้างวาทกรรมในการชี้ให้เห็นว่าพรรคมีเรื่องราวที่น่าสนใจและสามารถใช้เป็นข้อมูลเด็ดในการชี้ให้เห็นความไม่ชอบมาพากล หรือความผิดพลาด ล้มเหลวของรัฐบาล ในฐานะประชาชนก็ขอภาวนาให้อย่ามีแต่วาทกรรมโจมตี หรือวนเวียนอยู่กับคำเดิมๆ ที่กล่าวหารัฐบาลว่าใช้อำนาจในการทำลายฝ่ายค้าน มีความเป็น “เผด็จการ” ไม่เป็นประชาธิปไตย หลอกด่า “ทหาร” และ “ข้าราชการประจำ” ที่ได้ยินได้ฟังกันจนน่าเบื่อ น่ารำคาญไปแล้ว หรือกระบวนการการทำงานของกลไกต่างๆ ที่เคยเป็นการทำงานตามปกติของระบบในหน่วยงานภายในประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน เพื่อตีกระทบไปยังรัฐบาล ก็ขอให้มีหลักฐานที่ชัดเจนไม่ใช่พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นเหมือนการดำเนินการที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดขึ้นของรัฐบาล คสช. มาตลอด ๔-๕ ปีที่ผ่านมา
เมื่อพิจารณาถึงการเมืองไทยมีการดำเนินมาจนถึงเวลาใกล้จะเกิดเหตุการณ์สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การตัดสินคดีเกี่ยวกับเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่จากศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีแคมเปญ “คัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่” เกิดขึ้น โดยใช้ภาพรวมๆ ของการคัดค้าน ซึ่งทำให้คนทั่วไปก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเมื่อการยุบพรรค เพราะเหตุผลที่คลุมไปว่า “ประเทศไทยต้องไปข้างหน้า การเมืองต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่าย ร่วมลงชื่อ #คัดค้านยุบพรรคอนาคตใหม่” และ “การเมืองที่ดีควรเป็นระบบที่เปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามาต่อสู้แข่งขันกันได้อย่างเสรีเป็นธรรม โดยมีประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ส่วนการมุ่งกำจัดกลุ่มการเมืองใดๆ ให้สิ้นซากนั้น มีแต่จะทำให้สังคมตึงเครียดรอวันระเบิด” ซึ่งเป็นเหตุผลที่แตกต่างจากการที่ถ้าทำไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดเกี่ยวกับพรรคการเมือง เนื่องจากพรรคการเมืองมีอำนาจที่มีผลต่อสมาชิกพรรคและมีประโยชน์ที่่จะได้รับการสนับสนุนจากกลไกของกฎหมายด้วยจึงต้องมีข้อกฏหมายที่จะกำหนดเอาไว้มากมายเพื่อเป็นการให้ใช้อำนาจและประโยชน์ไปอย่างเหมาะสมแลกกับการต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่มี ถ้าไม่อยากมีข้อกำหนดมากก็ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติจะสังกัดพรรคหรือไม่ก็ได้เหมือนที่เคยมีในบางช่วง “จะเอามั้ยละ…?” ซึ่งก็มีหลายฝ่ายถามไปยังคนตั้งเรื่องแคมเปญนี้ว่า ถ้าศาลตัดสินว่าผิดเพราะพรรคทำผิดกฎหมายหรือข้อกำหนดที่มี “จะยังคัดค้าน…อยู่มั้ย…?” เพราะถ้าพูดถึงการเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายเข้ามาต่อสู้แข่งขันกันได้อย่างเสรีเป็นธรรม โดยมีประชาชนเป็นผู้ตัดสิน มันคนละเรื่องกับเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด “อย่ามั่ว”
“อรุณรุ่ง…” มักใช้กับสิ่งที่ดีๆ เป็นการตื่นขึ้นมาในวันใหม่ ที่พบกับแสงสว่าง อย่างมีความหวัง เหมือนที่ประชาชนในประเทศนี้จำนวนมากเคยมีความหวังกับ แนวคิดและการดำเนินการแบบ “ทักษิณ” แม้จะผิดพลาดไปบ้าง ไม่เป็นไปตามกฎหมายไปบ้างหลายฝ่ายก็ยังให้ความหวัง เผื่อจะพบกับ อรุณรุ่ง… ของประเทศไทยบ้าง จนเวลาล่วงเลยไปแล้วมี “ปรากฎการสนธิ” เกิดขึ้น จึงทำให้รู้อะไรเพิ่มขึ้นมากมาย จนกลายเป็นการต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ที่กระจายไปทั่ว ที่เคยคิดว่าจะเป็นอรุณรุ่งของความถูกต้องดีงาม จึงกลายมาเป็นอรุณรุ่งของความผิดพลาด ของการเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุจริตคอรัปชั่น เห็นแก่พวกพ้อง การนำประเทศไปสู่ “รัฐตำรวจ” และสร้างลิ่วล้อให้มีอำนาจบาตรใหญ่กันถ้วนทั่ว และวันนี้เรายังพบซากปรักหักพังของระบอบนี้ และการถูกตัดสินจำคุกจากศาลอีกจำนวนหลายคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องใกล้ชิด และต่อสู้ของคนที่ถูกกล่าวว่าอยู่ในระบอบนี้ จนไม่จำเป็นต้องอธิบายมากทั้ง สุธรรม-เบญจา-บุญทรง-สุรพงษ์-ยงยุทธ-… ฯลฯ
ในการดำเนินการต่างๆ ของพรรคอนาคตใหม่ที่เกิดขึ้นขออย่าให้ซ้ำรอยเดิม ที่ทำผิดกฎหมายซ้ำซาก มีจำนวนคดีมากมาย พาลิ่วล้อไปท้าทายกฎหมายและถูกดำเนินคดีจนติดคุกติดตารางกันเหมือนในระบอบที่สังคมเคยให้โอกาส
ทุกฝ่ายจึงควรช่วยกันให้ข้อมูล เตือนสติ กันทุกฝ่าย ไม่ให้แนวคิดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกผลักดันไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้จะทำผิดกฎหมาย จนกลายเป็นท้าทายกฎหมาย ขอให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาและการทำหน้าที่ของตัวแทนปวงชนชาวไทย เป็น “อรุณรุ่ง” ของสังคมไทยบ้าง อย่าให้เป็น “อรุณรุ่งของพินอคคิโอ” เลย