ในรายการ “ทิศทางไทยในช่วงเวลา 00.00 กับ สนธิญาณ” ทางช่องสถาบันทิศทางไทย เผยแพร่ผ่านทางยูทูป ทางด้าน “สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม”ได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองเกี่ยวกับรอยร้าวที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า…
ใกล้วันอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้ามาทุกวัน การเตรียมการของทั้งพรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลต่างฝ่ายต่างดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ฝีมือในสภาฯ ที่น่าสนใจก็คือพรรคพลักประชารัฐ หลังจากอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว กลุ่มก้อนภายในพรรคที่มีอยู่4-5กลุ่ม จะยิ่งตอกย้ำความแตกแยกกันหรือไม่ แม้หลายคนในพรรคจะบอกว่า นี่เป็นปรากฎการณ์ธรรมดา
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น ไม่ธรรมดาแน่นอน เมื่อกลุ่มสามมิตรที่นำโดย “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” “สมศักดิ์ เทพสุทิน” และอนุชา นาคาศัย ได้นัดประชุมส.ส.ประมาณ40คน หารือพร้อมรับประทานอาหาร โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อเตรียมรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะส.ส. กลุ่มสามมิตรมีประสบการณ์
“สนธิญาณ”ตั้งคำถามด้วยว่า มีประสบการณ์จริงทำไมถึงไม่ถ่ายทอดไปยังทุกคน ทำไมถึงทำเฉพาะกลุ่มสามมิตร อย่างไรก็ตามที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น ในการประชุมในครั้ง “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคมาร่วมด้วย ที่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” หัวหน้าพรรคตัวจริง ? หรืออาจเรียกว่า แกนนำ หรือ ผู้นำของกลุ่มสามมิตรตัวจริงได้มาร่วมประชุมด้วย ซึ่งตามปกติแล้ว “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ไม่เคยออกบทบาท ไม่เคยโชว์ตัว ซึ่งการแสดงสัญลักษณ์ครั้งนี้ มีนัยยะอันสำคัญ
ต่อมาในวันที่11ก.พ. ถัดมาเพียง 6 วัน ก็มีส.ส.อีกกลุ่มหนึ่ง นัดรับประทานอาหารกัน ซึ่งนำโดย “วิรัช รัตนเศรษฐ” ประธานวิปรัฐบาล “ส.ส.เฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ในฐานะประธานส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ มีการนัดประชุมโดยมีการตั้งโต๊ะจีนทั้งหมด 9 โต๊ะ มีโต๊ะละ 10 คน แสงดว่าส.ส.มาอย่างต่ำที่สุดก็คือ 90คน งานนี้คนที่ออกตัวแรงคนหนี้ไม่พ้น “ส.ส.เฮ้ง” ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี ว่าเป็นผู้ที่ยืนอยู่ข้างกลายของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รับคำสั่งตรง ทั้งนี้สำหรับข้ออ้างในการประชุมครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เพื่อที่เตรียมรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
“หากสามัคคีกันดี ทำไมไม่ทำด้วยกัน?” “สนธิญาณ”กล่าว
ชัดเจนว่าเป็นคนละกลุ่มกัน แต่งานนี้ มี”สันติ พร้อมพัฒน์”กับ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” มาร่วมด้วย โดยเฉพาะ ”สันติ พร้อมพัฒน์” ว่ากันว่าเป็นเจ้าของสถานที่ในการจัดประชุมกันในครั้งนี้ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ว่ากันว่าจะเป็นที่ทำการพรรคพลังประชารัฐแห่งใหม่…แล้วที่ทำการพรรคพลังประรัฐแห่งเก่าจะเอาไว้ไหน
“สนธิญาณ”ระบุต่อด้วยว่า เป็นเรื่องแปลกน่าดู หากพรรคพลังประชารัฐจะมีที่ทำการพรรคสองแห่งในพื้นที่กทม. ซึ่งคาดว่าที่ทำการพรรคแห่งเก่านั้นจะเป็นที่นั่งของ “อุตตม สาวนายน” กับ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ซึ่งเป็นผู้หาสถานที่แห่งนี้มา และทำให้สถานที่ดังกล่าว กลายเป็นที่ทำการของพรรคพลังประชารัฐ ส่วนที่ทำการแห่งใหม่ ว่ากันว่าเหตุผลที่ต้องย้ายไปเพราะกว้างขว้างกว่า แต่จะมีเหตุผลอื่นซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ เป็นเรื่องน่าสนใจทั้งนี้ในการประชุมครั้งนี้ “ส.ส.เฮ้ง” บอกว่า คนในพรรคพลังประชารัฐสามัคคีกันดี เพราะทุกคนขึ้นกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานยุทธศาสตร์พรรค
“สนธิญาณ”ตั้งข้อสังเกตว่า ..หัวหน้าพรรคและเลขาพรรค “ส.ส.เฮ้ง” เอาไว้ที่ไหน จะนี้จะพูดว่าสามัคคีก็ใช่ที่ เห็นชัดอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งมีรายงานข่าวออกว่า “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” กับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เส้นทางการเดิน น่าจะเดินกันคนละรอย ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
และสิ่งที่ต้องจับตา คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เมื่อกี้มีการประกาศรับสมัครผู้ว่าฯกทม. ว่ากันว่าจะเป็นการประลองกำลังครั้งใหญ่ระหว่าง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” กับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวว่า “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ต้องการที่จะส่ง “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” คนสนิทที่พลาดตำแหน่งรัฐมนตรี ต้องมานั่งในตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ของ“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เพราะถือว่าเป็น”น้ำดี” เป็นนักวิชาการ น่าจะลงไปต่อสู้กับคู่แข่งได้ แต่อีกด้านหนึ่งมีกระแสเสียงว่า “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รมว.ศึกษาฯ อยากจะส่ง “ทยา ทีปสุวรรณ” ภรรยา ซึ่งเคยเป็นรองผู้ว่าฯกทม.มาก่อน ลงแข่งเพราะมีบทบาทที่โดดเด่น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ”เป็นผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”คนหนึ่ง ประเด็นจะจบอย่างไร การคัดเลือกผู้ลงสมัครชิงผู้ว่าฯกทม.จะเป็นอีกประเด็นหนึ่งในพรรคพลังประชารัฐที่จะเดินแรงสั่นสะเทือนขึ้น
ถ้า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” วางมือทางการเมือง แน่นอนว่า“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”ก็คงจะเลิก ไม่รู้ว่าบทบาทของพรรคพลังประชารัฐจะเป็นอย่างไร ….จะเป็นเหมือนที่คนเคยปรามาสไว้ “พรรคทหารทีตั้งขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราว” หรือเป็นพรรคที่ยืนหยัดด้วยอุดมการณ์ในการที่จะเดินไปข้างหน้า?? …แต่ดูถ้าประเด็นหลังไม่น่าจะเป็นไปได้ “สนธิญาณ”กล่าวทิ้งท้าย