เปิดกม.เอาผิดสื่อไลฟ์สด!?!ทายาทคนตายฟ้องได้!!! ถึงเวลาขึ้นทะเบียนสื่อ???

0

(1) ดร.เวทิน​ ชาติกุล นักวิชาการสถาบันทิศไทย นำเสนอบทความอันเกี่ยวเนื่องมาจากเหตุการณ์โคราชวิปโยค ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการทำงานของสื่อ

(2) โดยเห็นว่าเป็น วิกฤติสื่ออาชีพ ที่ถึงเวลาต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนหรือยัง?

(3) กรณีที่โคราช มีสื่ออาชีพอย่างน้อย​ 3​ ช่อง​ คือ​ ช่อง​ One, ช่องอัมรินทร์ทีวี​ และ​ ช่องไทยรัฐทีวี​ ที่คล้ายจะตกเป็นจำเลยของสังคมโดยเฉพาะในโลกโซเชียลฯ

(4) ข้อวิจารณ์ก็คือ​ ความไม่เหมาะควรของการนำเสนอหรือสัมภาษณ์บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์หรือญาติพี่น้อง​ (ง่ายๆ​ คือ​ มุ่งขายข่าวจนลืมคำนึงถึงหัวอกของคนที่เป็นข่าว)​ เช่น​ สัมภาษณ์ญาติผู้เสียชีวิตจนมีเสียงกรีดร้องออกมา​ขณะสัมภาษณ์​

(5) ข้อวิจารณ์ที่รุนแรงขึ้นคือ​ การรายงานข่าวทำให้การแก้ไขวิกฤติของเจ้าหน้าที่ยากลำบากยิ่งขึ้น​ เช่น​ ดักเอา​ inbox ไปรายงานตำแหน่งของผู้ที่ติดอยู่ภายในจนเจ้าหน้าที่เกือบไปช่วยออกมาไม่ทัน

(6) หรือ​ กรณีที่หนักที่สุด​ คือ​ รายงานข่าวแจ้งตำแหน่งจนคนร้ายได้ตามไปสังหารผู้ที่ติดอยู่ภายในได้​ (ซึ่งกรณีนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่ชัดเจน)​

(7) แม้สื่อที่ทำหน้าที่อย่างดีและควรยกย่องเช่น​ ThaiPBS, MThai และ​ ช่อง7​  แต่ในฐานะสื่ออาชีพคงปฏิเสธไม่ได้ถึงเสียงวิจารณ์โดยภาพรวม​ ต่อข้อวิจารณ์ว่าด้วยความไร้จรรยาบรรณ​ และไร้มาตรฐานในการนำเสนอข่าวในห้วงเวลาฉุกเฉิน​

(8) ความคาดหวังของสังคมต่อคนทำอาชีพสื่อคือ สื่อมวลชนอาชีพ มีมาตรฐานและจรรยาบรรณและความรับผิดชอบ ในการนำเสนอข่าวมากกว่า สื่อที่ไม่ใช่สื่ออาชีพ

(9) หมอ วิศวกร สถาปนิก บัญชี ทนาย ฯลฯ ถ้าทำผิดในมาตรฐานวิชาชีพ ก็ต้องถูกถอน #ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และ มีโทษตามกฎหมาย แต่สื่อมวลชนไม่เคยมี

(10) คำถามคือ การทำผิดมาตรฐานวิชาชีพ โดยการนำเสนอข่าวโดยสื่ออาชีพ สร้างผลร้ายกับที่รุนแรงกับสังคมหรือไม่?

(11) แล้ว​ มาตรฐานสื่อ​ จรรยาบรรณสื่อ​ ใครควรเป็นคนกำหนด?

(12) การควบคุมกันเองของสมาคมสื่อ เป็นเพียงคำพูดสวยๆที่ไม่มีทางเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติเลย

(13) มันถึงเวลาแล้วที่สื่ออาชีพต้องมีการควบคุมอย่างจริงจัง มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อ ที่จะถูกเพิกถอนถ้าทำความผิด และต้องรับโทษทางกฎหมายเหมือนกับวิชาชีพอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบทางวิชาชีพตัวเองต่อสังคม

(14) ย้อนไป 30 เม.ย.60 สื่อมวลชนรวมพลังต่อต้าน ร่างพ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ที่เข้าสู่การพิจารณาของ ที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) วันที่ 1 พ.ค.60

(15) ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาออกแถลงการณ์ให้สปท. ถอนร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …ออกจากระเบียบวาระการประชุม สปท. ตามที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชนเสนอ

(15.1) โดยระบุเหตุผลว่า จะส่งผลให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อรวมถึงบุคคลที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์สื่อสารและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ต้องตกอยู่ในสภาวะถูกกำกับควบคุม จนมิอาจใช้สิทธิเสรีภาพของตนได้อย่างสมบูรณ์ ตามรัฐธรรมนูญ

(16) ขณะที่สมาคมนักข่าวฯ ตั้งกระทู้เชิญชวนประชาชนร่วมคัดค้าน ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนผ่านเว็บไซต์ change.org หัวข้อ “ยุติการพิจารณาออกกฎหมาย ตีทะเบียนสื่อ ครอบงำประชาชน”

(17) ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ก็เคยให้ความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า มาตรการที่จะตอบโต้การเสนอกฎหมายควบคุมสื่อ ก็คือการแอนตี้ไม่ยอมเสนอข่าวของแม่น้ำทั้ง 5 สาย

(18) รวมทั้งวัฒนา เมืองสุข โพสต์ขณะนั้นว่า “ประชาชนสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือ และมีกฎหมายคุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายจากการทำงานของสื่อไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อต้องมีใบอนุญาต

(19) พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านสื่อสารมวลชน บอกว่าจะหารือกับคณะกรรมาธิการฯ ให้เสนอตัดหลักการ เกี่ยวกับการออกใบประกอบวิชาชีพสื่อ รวมถึงบทลงโทษออกจากร่างกฎหมาย

(20) นั่นคือเรื่องราวของการจะขึ้นทะเบียนสื่อที่เคยถูกเสนอและล้มพับไปเพราะมีเสียงคัดค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนทำงานสื่อเอง???

(21) และเมื่อมาถึงวันนี้ที่การทำงานของสื่อถูกโจมตีจากสังคมอย่างรุนแรง คำถามก็ดังสะท้อนกลับมาอีกว่า ถึงเวลาแล้วหรือไม่กับการขึ้นทะเบียนสื่อ!?!

(22) กระนั้นก็มีความเห็นทางกฏหมายที่น่าสนใจยิ่งเมื่อ อาจารย์ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา ซึ่งได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า

(22.1) สถานีโทรทัศน์บางช่องที่เสนอข่าวรวมทั้งผู้สื่อข่าวที่รายงานความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตำรวจสดๆ ให้คนร้ายรู้อันเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานยากขึ้นและเป็นให้คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงประชาชนบริเวณตายนั้น

(22.2) น่าจะเข้าข่ายเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก ในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด อันเป็นสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ซึ่งมีโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานฆ่าคนตาย ตามมาตรา 288 ซึ่งต้องระวางโทษประหารชีวิต จําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี

(22.3) ทายาทของผู้ตายอาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้รายงานข่าวและสถานีโทรทัศน์ช่องนั้นได้ด้วย

(23) ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

(24) มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี

(25) นั่นคือข้อคิดเห็นทางกฎหมายที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีใครดำเนินการเช่นนี้หรือไม่??? รวมทั้งการขึ้นทะเบียนสื่อที่ต้องนำกลับมาทบทวนพิจารณากันอีกครั้งหรือไม่???

 

#ปอกเปลือก#ปอกให้เห็นความจริง