ลดดอกเบี้ยสูตรสำเร็จในท่ามกลางวิกฤต?

0

ลดดอกเบี้ยสูตรสำเร็จในท่ามกลางวิกฤต?

อ.ศาสตรา โตอ่อน นักวิชาการสถาบันทิศทางไทย

……

1.วิกฤตรอบด้านและไวรัสโคโรน่าฟางเส้นสุดท้าย

โลกกำลังเผชิญวิกฤตที่มองเห็นได้ชัด  อย่างการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า  ที่นอกจากกำลังกัดกินประชากรโลกแล้ว  ยังกำลังกัดกินเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกไปเรื่อย ๆ  เส้นทางคมนาคมภายในประเทศจีน  โรงงานของโลกถูกปิดกั้น  จากมาตรการการกักกันโรคระบาด  โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งต้องปิดตัวลงอย่างมิอาจปฎิเสธได้  และแม้หากสายพานการผลิตของจีนยังดำเนินต่อไปได้ก็ไม่อาจกระจายสินค้าไปทั่วประเทศหรือทั่วโลกได้

สายการบินที่แสดงความจำนงอย่างชัดเจนอย่างLufthansa  ได้ประกาศกำหนดบินไปจีนอีกครั้งในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 ซึ่งก็ไม่แน่ว่าอาจต้องเลื่อนออกไป มิพักต้องพูดถึงอย่างสายการบินในเครืออย่าง Austrian Airline ,Swiss Airที่กำหนดมาตรการแบบเดียวกัน

นอกจากนี้การติดเชื้อในเรือสำราญแสดงให้เห็นว่าไวรัสโคโรน่า สามารถแพร่ได้ทุกทางไม่ว่าทางบก ทางเรือ ทางอากาศ  มาถึงตรงนี้อาจกล่าวได้ว่าจีนกำลังเผชิญวิกฤตหนัก แม้ว่ารัฐบาลจีนจะอัดฉีดเงิน 170 ล้านหยวนเข้าระบบจนดัชนีย์ตลาดหลักทรัพย์ดีดตัวขึ้นก็ตาม  แต่มันอาจเป็นเพียงการใช้จ่ายภาครัฐที่อาจส่งผลดีในระยะสั้นเท่านั้น

เฉพาะผลกระทบของไวรัสโคโรน่าต่อจีน  ก็อาจส่งผลลุกลามบานปลายต่อระบบเศรษฐกิจโลกเพราะในสายการผลิตสินค้าหลายชนิด  จีนเป็นผู้ผลิตหลักที่หากหยุดชะงักจะกระทบห่วงโซ่การผลิต Supply Chainทั่วโลก

เช่น  ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ส่งให้เกาหลีใต้อย่าง KIA และ Hyundai เริ่มได้รับผลกระทบจากการที่โรงงานในจีนต้องปิดตัวลง ที่กล่าวมาเป็นพียงผลกระทบปัญหาโรคระบาดเท่านั้น  มิพักต้องกล่าวถึงปัญหาซ่อนเร้นอื่น ๆ ที่กำลังตามมา  ทั้งปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ China Subprime Mortgage ในจีน ปัญหาหนี้สินในจีนและสหรัฐอเมริกา ปัญหาการแตกร้าวของสหภาพยุโรปภายหลังอังกฤษออกจาก EU ปัญหาวิกฤต Deutsche Bank ที่ประสบวิกฤตการถือตราสารอนุพันธ์ความเสี่ยงสูง  การถดถอยของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตซ้อนทับเพียงใด

นอกจากนี้ภาวะโลกร้อนที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอันส่งผลกระทบต่อทรัพยากรแสดงผลอย่างชัดเจน เช่น เทือกเขาแอลป์และหิมาลัยกำลังสูญเสียธารน้ำแข็งไปจำนวนมาก  ก็อาจทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในช่วงแรกและปัญหาน้ำแล้งตามมาเพราะธารน้ำแข็งคือที่เก็บกักสำรองน้ำ  รวมทั้งการละลายของน้ำแข็งในเขตทุนดราไซบีเรียอาจเพิ่มเติมปัญหาโรคระบาดเข้าไปอีก เพราะจุลินทรีย์ เช่นเชื้อแอนแทรกซ์ที่เคยติดต่อจนทำให้กวางเรนเดียร์ล้มตาย และซากที่ถูกแช่แข็งไว้โผล่ขึ้นมาพร้อมเชื้อโรคดังกล่าว

โดยสรุปโลกกำลังเผชิญภาวะวิกฤตอย่างรอบด้าน  หนักหน่วงรุนแรง รอเพียงจุดพลิกผัน (Butterfly Effect) เท่านั้นที่วิกฤตจะบิดผันไปสู่จุดหักเลี้ยว       (The Turning Point) และนำไปสู่สิ่งใหม่

 

 2.สูตรลดดอกเบี้ย

กลับมาเข้าเรื่องทางเศรษฐกิจ  ต้องเข้าใจก่อนว่า  เศรษฐกิจมีกลไกการทำงานหลักเป็นไปตามธรรมชาติที่นำโดยพลังของเอกชน  หรือพลังของตลาดที่เราเรียกว่ามือที่มองไม่เห็น   ซึ่งตลาดนั้นหมายรวมถึงภาครัฐ ทั้งในฐานะผู้แข่งขัน(Operator)และผู้กำกับดูแล(Regulator)

ในฐานะOperator ภาครัฐกินเนื้อที่ 10-15%  ของพลังทางเศรษฐกิจทั้งหมด    ดังนั้นการหวังพึ่งภาครัฐในทางเศรษฐกิจ การรอรับงบประมาณผ่านการจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤตก็คงอยู่ในระดับเพียงประคับประคองด้วยมาตรการทางการคลัง การใช้จ่ายงบประมาณ  เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจหดตัว  เคียงคู่กันกับบทบาทในการแทรกแซงเศรษฐกิจโดยการกำหนดนโยบายทางภาษีอากร  การก่อหนี้สาธารณะ   หรือที่เรียกว่าการดำเนินนโยบายทางการคลังแบบขยายตัว  ซึ่งเป็นสูตรการแก้ไขปัญหายามเศรษฐกิจหดตัวนั่นเอง

ในส่วนของนโยบายทางการเงิน ธนาคารชาติ(National Bank) ธนาคารพาณิชย์(Business Bank) ธนาคารเพื่อการลงทุน (Investment Bank) สถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร (Non-Bank)ตลอดจนบริษัทประกันภัย(Insurance Company)  ต้อง

เป็นผู้เล่นหลักในภาคการเงินที่ช่วยผลักดันระบบเศรษฐกิจทั้งในฐานะผู้เล่นเช่นการปล่อยกู้ในธุรกิจ การประกันความเสี่ยง การรับฝาก การถอนเงิน ภาคครัวเรือนและผู้กำกับดูแลทางเศรษฐกิจ (Finance Market regulation)  ซึ่งเป็นบทบาทของธนาคารชาติในการใช้นโยบายทางการเงินในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Stability)โดยในยามเศรษฐกิจขยายตัวก็ต้องทำการแทรกแซงให้กลับมาสมดุลย์โดยใช้นโยบายทางการเงินแบบหดตัวเช่นการเพิ่มอัตรา ดอกเบี้ย  เพื่อชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ  การควบคุมตรวจสอบธรรมภิบาลในภาคการเงิน  (Finance Market Governance) การควบคุมการปล่อยเงินกู้ และสภาพคล่อง (Liquidity)

และในยามเศรษฐกิจหดตัวการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อเชื้อเชิญให้เกิดการกู้ยืมและนำไปสู่การลงทุนเพื่อผลักดันเศรษฐกิจกลับสู่จุดสมดุลนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้การลดอัตราดอกเบี้ยยามเศรษฐกิจหดตัวมันจึงเป็นสูตรสำเร็จที่ใช้ในธนาคารชาติทั่วโลก  อย่างธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และในยุโรป (ECB) กำลังดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบด้วยซ้ำ  แต่สูตรนี้จะใช้สำเร็จหรือไม่ต้องดูต่อไปถึงสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

 

3.เศรษฐกิจไทยในภาวะอ่อนกำลัง

เริ่มกันที่ภาคการเกษตรที่มีสัดส่วนราว 8 % ของ GDP ที่ผ่านมาประสบปัญหาราคาพืชผลตกต่ำมาโดยตลอดเพราะปลูกพืชซ้ำชนิดจนกลไกราคาไม่ทำงานเท่าที่ควร และต้องพึ่งพาการอุดหนุนจากภาครัฐมาโดยตลอดแล้ว ปีนี้คาดว่าจะประสบปัญหาภัยแล้ง และผลกระทบของไวรัสโคโรน่าทำให้จีนงดการนำเข้ายางพาราอีก ดังนั้นกับภาคเกษตรกรรมคงจะหวังอะไรมากไม่ได้

ภาคอุตสาหกรรมและส่งออกที่มีสัดส่วนราว 40% ของGDP เงินบาทที่แข็งค่ามาโดยตลอดแม้จะอ่อนตัวลงในช่วงไข้หวัดโคโรน่า แต่ตลาดโลกทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และแม้แต่จีนที่กำลังประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผนวกกับกำลังซื้อทั่วโลกที่อ่อนแรง กิจการอย่างห้าง Macy ทยอยปิดตัวลงแสดงออกอย่างชัดเจนถึงภาวะดังกล่าว  แม้เงินบาทอ่อนตัวลงและมีการลดภาษีเครื่องจักรทุนเป็นความพยายามที่ดีในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมแต่ก็คงไม่อาจทำให้ภาคอุตสากรรมและการส่งออกเดินสะดวกนัก

ภาคการท่องเที่ยว 12% ของ GDP ขาดนักท่องเที่ยวจากจีนที่เป็นสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดส่งผลกระทบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  นักท่องเที่ยวจากส่วนอื่นๆ ของโลกยังไม่มีประมาณการตัวเลขที่แน่นอนและอาจแกว่งไกวจากภาวะวิกฤตรอบด้าน ส่งผลกระทบต่อวิกฤตภาคนี้อย่างแน่นอน  ในขณะที่ภาคบริการอื่นๆ ที่คิดเป็น 40% ของ GDP เมื่อกำลังซื้อจากภาคเศรษฐกิจอื่น ๆอ่อนกำลังลงย่อมส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่  ดังนั้นเมื่อมองภาพรวมแล้วตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดหวังไว้ราว  2-2.5% อาจต้องประมาณการณ์ใหม่ก็เป็นได้

 

  1. ลดดอกเบี้ยแก้ไขเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือ

ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังสูญเสียกำลัง นอกจากนี้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 80% ของ GDP  ทำให้เกิดปัญหากำลังซื้ออ่อนแรงอีกชั้นหนึ่ง การใช้นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้เกิดการลงทุนอาจมีผลดีในการจ้างงานและประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นจากค่าจ้าง แต่ในภาพรวมที่หนี้จำนวนมหาศาลในภาคครัวเรือนจากโครงการประชานิยมที่สะสมมา ต้องประเมินต่อไปว่ามาตรการลดดอกเบี้ยลงเหลือ 1% นั้นจะมีผลมากระทบ และช่วยผลักดันเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด เพราะเมื่อผลิตสินค้าออกมา หากขาดกำลังซื้อธุรกิจก็เดินยากอยู่ดี

ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยปัจจัยบวกที่พอจะช่วยได้คือการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีไม่เป็นโมฆะ เงินบาทที่อ่อนตัวลง หากจะนำมาหักกลบลบหนี้กับปัจจัยลบ  การลดอัตราดอกเบี้ยอาจมีผลเป็นการส่งสัญญาณบวกแรงๆ ต่อเศรษฐกิจตามที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าว

แต่สัญญาณบวกที่ว่าจะเกิดผลบวกจริงต่อระบบเศรษฐกิจจริงได้หรือไม่คงต้องมีการประเมินกันอีกครั้ง  แต่ในภาวะโดยรวมในมหาวิกฤตซับซ้อนผนวกกับปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ปัญหากับดักรายได้ปานกลาง  ปัญหาการขาดการวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นปัญหาระยะยาว  น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามในภาวะวิกฤตแบบนี้คงจะไปตำหนินโยบายลดดอกเบี้ยนี้ไม่ได้ถนัดนัก  เพราะบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นเหลือหน้าที่ทางนโยบาย (Space of Policy) น้อยเหลือเกิน

การลดดอกเบี้ย การทำให้เงินบาทอ่อนตัวการลดภาษี  การใช้จ่ายภาครัฐ การแก้ไขปัญหาหนี้สิน คือพื้นที่ที่ภาครัฐทำได้และพยายามอย่างเต็มที่แล้วแต่ในมหาวิกฤตครั้งนี้ แต่กระแสที่โถมทับการผลักดันทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามสูตรนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน