วิกฤติ Fakenews, ​ เหตุวิกฤติ​ที่โคราช​ ถึง​ วิกฤติสื่ออาชีพ ถึงเวลาต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนหรือยัง?

0

วิกฤติ Fakenews, ​ เหตุวิกฤติ​ที่โคราช​ ถึง​ วิกฤติสื่ออาชีพ ถึงเวลาต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนหรือยัง?

.

ดร.เวทิน​ ชาติกุล นักวิชาการสถาบันทิศไทย
.

30​ มกราคม​ 2563​ ตอนที่เฟคนิวส์ระบาดอย่างหนัก​ในวิกฤติไวรัสโคโรน่า2019​ ผมเขียนเรื่อง​ ถึงเวลาสื่อต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อ​ ไปแล้วรอบหนึ่ง​ นึกไม่ถึงว่า​ เหตุเศร้าสลดที่โคราช​ จะยิ่งตอกย้ำข้อเสนอของผม​ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น​ จากข้อวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่อันไม่เหมาะสมของสื่อมวลชน ซึ่งมีข้อครหาว่ามีส่วนนำไปสู่เหตุสูญเสียที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วย​

.

กระแส​ #ปฏิรูปสื่อ​ ดังขึ้นอีกครั้งในโซเซียลมีเดีย​ ถึงขนาดที่​ กสทช.ต้องออกมาเด้งรับลูก​ (ซึ่งคงคาดการณ์ได้ว่าจะจบลงที่มีโทษนิดหน่อย​ แล้วทุกอย่างก็กลับไปเป็นแบบเดิม)​

.

วันนี้​ (10​ ก.พ.2563)​ ผมขอเอาบทความเดิมที่เขียนไว้มานำเสนอซ้ำอีกครั้ง​ โดยอัพเดตให้เข้ากับสถานการณ์ล่าสุด​ โดยข้อเสนอทุกอย่างยังคงเดิม
.
กรณีวิกฤติโคโรน่า​ 2019

.
(1) ข่าว “สนามบินหยุดตรวจอุณหภูมิผู้โดยสาร ชี้ไม่มีความเสี่ยงเพราะจีนปิด อู่ฮั่น แล้ว” (24 ม.ค.2563) รายงานโดย VoiceTV

.

(2) ข่าว “…รัฐบาลไทยโกหกประชาชน กงสุลยอมรับรัฐบาลไร้คำสั่งช่วยเหลือคนไทยในอู่ฮั่น…” รายงานโดย VoiceTV

.

(3) ข่าว “คนจีนเดินทางออกจากเมืองอู่ฮั่น 5 ล้านคน” รายงายโดย ข่าวสด และ รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้”(ก่อนที่จะแพร่ไปในสื่อเจ้าอื่นๆ)

.

(4) ข่าวเหล่านี้มีความชัดเจนระดับหนึ่งแล้วว่าคือ ข่าวปลอม fakenews

.

กรณีวิกฤติที่โคราช

.
(5) มีสื่ออาชีพอย่างน้อย​ 3​ ช่อง​ คือ​ ช่อง​ One, ช่องอัมรินทร์ทีวี​ และ​ ช่องไทยรัฐทีวี​ ที่กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในโซเซียลมีเดียอย่างรุนแรงถึงการทำหน้าที่รายงานข่าวในห้วงเวลาวิกฤติ​

.

(6) ข้อวิจารณ์ที่รุนแรงน้อยที่สุดก็คือ​ ความไม่เหมาะควรของการนำเสนอหรือสัมภาษณ์บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์หรือญาติพี่น้อง​ (ง่ายๆ​ คือ​ มุ่งขายข่าวจนลืมคำนึงถึงหัวอกของคนที่เป็นข่าว)​ เช่น​ สัมภาษณ์ญาติผู้เสียชีวิตจนมีเสียงกรีดร้องออกมา​ขณะสัมภาษณ์​

.

(7) ข้อวิจารณ์ที่รุนแรงขึ้นคือ​ การรายงานข่าวทำให้การแก้ไขวิกฤติของเจ้าหน้าที่ยากลำบากยิ่งขึ้น​ เช่น​ ดักเอา​ inbox ไปรายงานตำแหน่งของผู้ที่ติดอยู่ภายในจนเจ้าหน้าที่เกือบไปช่วยออกมาไม่ทัน

.

(8) หรือ​ กรณีที่หนักที่สุด​ คือ​ รายงานข่าวแจ้งตำแหน่งจนคนร้ายได้ตามไปสังหารผู้ที่ติดอยู่ภายในได้​ (ซึ่งกรณีนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่ชัดเจน)​

.

(9) แม้สื่อมวลชนที่ทำหน้าที่อย่างดีและควรยกย่องเช่น​ ThaiPBS, MThai และ​ ช่อง7​ (ซึ่งใช้โดรนของสื่อช่วยเจ้าหน้าที่หาตำแหน่งคนร้าย)​ แต่ในฐานะสื่ออาชีพคงปฏิเสธไม่ได้ถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการทำงานของสื่อโดยภาพรวม​ ต่อข้อวิจารณ์ว่าด้วยความไร้จรรยาบรรณ​ และไร้มาตรฐานในการนำเสนอข่าวในห้วงเวลาฉุกเฉิน​

.

(9) ที่น่าตลกคือ​ มี​ สื่ออาวุโสคนหนึ่งออกมาแก้ตัวแทนการทำงานของสื่ออาชีพว่า​ “…แม้บางช่องจะพลาดไปบ้างถึงการเปิดเผยสถานที่หลบซ่อนเคร่าๆ​ แต่ไม่ถึงขั้นละเมิดจรรยาบรรณใดๆ…”

.

วิกฤติสื่ออาชีพ

.
(10) ย้ำว่าการนำเสนอข่าวปลอม​ และข้อผิดพลาดในการรายงานข่าวในห้วงวิกฤติเหล่านี้ ชัดเจนว่านำเสนอโดย “สื่อมวลชนอาชีพ” หรือ สื่อที่อ้างตัวว่าเป็นสื่ออาชีพ (ไม่ใช่สื่อโซเซียล)

.

(11) อันแสดงว่า มาตรฐานของ “สื่ออาชีพ” ส่วนใหญ่ในประเทศไทย ไม่ได้ดีไปกว่า “สื่อโซเซียล” (ซึ่งไม่ใช่สื่ออาชีพ) และในทางตรงข้าม ความผิดนั้นย่อมหนักกว่า เพราะใช้พื้นที่สื่อของตัวเองสร้างความชอบธรรมให้กับข่าวปลอม(นี่ยังไม่ต้องคำนึงถึงกรณีที่หวังผลประโยชน์ในทางการเมือง หรือ ทางอื่นๆ) หรือ​ใช้พื้นที่สื่อของตนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์มากกว่าชีวิตคนในสถานการณ์

.

(12) ซึ่งจากความคาดหวังของสังคมต่อคนทำอาชีพสื่อคือ สื่อมวลชนอาชีพ มีมาตรฐานและจรรยาบรรณและความรับผิดชอบ ในการนำเสนอข่าวมากกว่า สื่อที่ไม่ใช่สื่ออาชีพ

.

(13) ซึ่งผลที่ประจักษ์ชัดออกมาคือ ความคาดหวังนั้นผิด​ (ตรงกันข้าม​ สื่อโซเซียลบางเพจกลับช่วยเจ้าหน้าที่ประสานงานกับผู้ติดอยู่ในเหตุการณ์ได้เป็นอย่างมาก)​

.

(14) และ สื่ออาชีพ ทำเหมือน สื่อโซเซียล(ส่วนใหญ่) คือ ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และ การแก้ไขปรับปรุงมาตรฐาน เมื่อมีความผิดพลาดในการนำเสนอข่าวขึ้นในพื้นที่สื่อของตัวเอง

.

(15) หมอ วิศวกร สถาปนิก บัญชี ทนาย ฯลฯ ถ้าทำผิดในมาตรฐานวิชาชีพ ก็ต้องถูกถอน #ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และ มีโทษตามกฎหมาย

.

(16) แต่สื่อมวลชนไม่เคยมี

.

(17) คำถามคือ การทำผิดมาตรฐานวิชาชีพ โดยการนำเสนอข่าวโดยสื่ออาชีพ สร้างผลร้ายกับที่รุนแรงกับสังคมหรือไม่?

คำตอบคือ ใช่

.

(18) แล้ว​ มาตรฐานสื่อ​ จรรยาบรรณสื่อ​ ใครควรเป็นคนกำหนด?

สื่อกันเอง?​ (เหมือนอย่างที่สื่ออาวุโสคนดังกล่าวอ้างขึ้นมาว่าทำผิดพลาดแต่ยังไม่ละเมิดจรรยาบรรณ​ อะไรคือจรรยาบรรณ? ใครเป็นคนกำหนด?)​

.

(19) หรือ​ สังคมที่ได้รับผลจากความผิดพลาดจากการทำหน้าที่ของสื่อ​ ควรต้องเป็นผู้กำหนด

.

(20​) คำถามที่ต้องตอบชาวบ้านคือ​ เมื่อผิดพลาดแล้วทำไม สื่ออาชีพ ถึงแทบไม่แสดงความรับผิดชอบ แทบไม่มีการควบคุมมาตรฐานวิชาชีพ แทบไม่มีบทลงโทษใด ๆ? ทั้ง ๆที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคล​ หรือ​เหตุการณ์​ สังคม​ ประเทศ​ บางเรื่องหนักหนามาก

.

(21) ที่ผ่านมา สื่อมวลชนอาชีพ อ้างเสรีภาพสื่อ อ้างการหลุดพ้นจากอำนาจรัฐมาควบคุมปิดกั้นความจริง เพื่อทำหน้าที่ได้อย่างมีมาตรฐาน

.

(22) และอ้างว่าจะควบคุมกันเอง

.

(23) ถูกต้องที่อำนาจรัฐไม่ควรให้ควบคุมสื่อ​ แต่ถึงบัดนี้ ชัดเจนแล้วว่า การอ้างเสรีภาพสื่อ ไม่ใช่เพื่อสร้างมาตรฐานวิชาชีพ แต่เพื่อกลบเกลื่อนความผิดอันเกิดจากการไม่มีมาตรฐานทางวิชาชีพ

.

(24) ในทางตรงข้ามเป็นที่ประจักษ์ชัดจากกรณี​ วิกฤติถ้ำหลวง​ว่า​ การควบคุมให้สื่อทั้งสื่ออาชีพและสื่อโซเซียลมีเสรีภาพในขอบเขตที่จำกัดในระดับหนึ่ง​(ตอนนั้นสื่อทุกสำนักถูกกันออกจากพื้นที่​และมีการให้ข่าวพร้อมกันในคราวเดียว​โดยผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการแก้วิกฤติ)​ สามารถช่วยให้การแก้วิกฤติดำเนินไปได้อย่างราบรื่น​ เป็นเอกภาพ​ และรวดเร็วกว่า​

.

(25) และการควบคุมกันเองของสมาคมสื่อ เป็นเพียงคำพูดสวยๆที่ไม่มีทางเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติเลย

.

(26) สื่ออ้างว่าตนรายงานความจริงต่อสังคม แต่กลับโกหกสังคมเรื่องการควบคุมมาตรฐานของตัวเองแบบซึ่งๆหน้า

.

(27) มันถึงเวลาแล้วที่สื่ออาชีพต้องมีการควบคุมอย่างจริงจัง มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อ ที่จะถูกเพิกถอนถ้าทำความผิด และต้องรับโทษทางกฎหมายเหมือนกับวิชาชีพอื่น ๆที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบทางวิชาชีพตัวเองต่อสังคม

.

(28) เหมือนทุกคนที่จะขับรถบนท้องถนน​ ต้องผ่านการอบรม​ สอบใบขับขี่​ ทำผิดจะถูกปรับ​ หักคะแนน​ หรือถ้ารุนแรง​​ก็ต้อง​เพิกถอนใบอนุญาต​ สื่ออาชีพ​ก็ควรเป็นแบบเดียวกัน​ ใคร? สำนักไหน? ถ้าทำผิดมาตรฐาน​ ผิดจรรยาบรรณรุนแรง​ ก็ควรเพิกถอนใบอนุญาต​ และมีโทษตามกฎหมาย