จากที่เมื่อวันที่16มิ.ย.63 อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมทางการเมือง ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า ก่อนจะห้ามไม่ให้พูดถึงสถาบันกษัตริย์ รัฐบาลต้องสอบสวนก่อนว่าทุกข้อกล่าวหานั้นเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์หรือไม่
“ไม่ใช่มาห้ามคนพูดถึงเลย ไม่งั้นก็จะกลายเป็นว่าคนในสถาบันกษัตริย์ ทำอะไรก็ไม่ผิด ไม่สามารถตรวจสอบได้ คนที่เสียภาษีบำรุงเลี้ยงดูสถาบันกษัตริย์ได้แต่มองตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้เลย ส่วนคนที่ออกมาวิจารณ์ก็ถูกดำเนินคดี ถูกใช้วิธีนอกกฎหมายกันไป
แบบนี้ไม่น่าจะใช่สิ่งที่ประชาชนต้องการแน่นอน และเมื่อถึงขีดสุด อย่ามาโอดโอยถ้าประชาชนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง แบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 88 ปีที่แล้ว ก็แล้วกัน”
ล่าสุดวันนี้(18มิ.ย.63) นายอานนท์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวอีกครั้ง โดยอ้างว่า อันเนื่องมาจากผมถูกลูกเพจอึ้งเอี๊ยะซือ เทื้อเอี้ยวเกีย V3 แจ้งความดำเนินคดีจากการถกเถียงว่า สถาบันกษัตริย์ใช้เงินจากภาษีของประชาชน ซึ่งเขาหาว่าผมพูดเท็จ ในฐานะผู้ต้องหา ผมจำเป็นข้อแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดี รวมทั้งเรียกร้องเกี่ยวกับการตรวจสอบงบประมาณอันเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
พรุ่งนี้ ( วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 ) เวลา 14.00 น. ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ผมจะไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ให้ตรวจสอบและชี้แจงเกี่ยวกับการใช้งบประมาณของสถาบันกษัตริย์ โดยมีรายละเอียดขอบหนังสือดังนี้
- ให้ชี้แจงการใช้งบประมาณอันเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งให้ทางสำนักนายกรัฐมนตรีทำหนังสือถึงสำนักพระราชวังให้ชี้แจงการใช้งบประมาณแผ่นดิน และเงินคงเหลือทั้งหมด
- ให้นายกรัฐมนตรีขอคืนเงินที่เกินความจำเป็นเพื่อนำมาแก้วิกฤติโควิด มาเยียวยาประชาชนที่ได้รับความลำบากจากวิกฤติการคราวนี้ เช่น เงินที่เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนิน (ค่าเดินทางทั้งในและต่างประเทศเฉพาะส่วนที่เกินจำเป็น) เงินที่จัดสรรให้ส่วนราชการในพระองค์ รวมทั้งเงินที่กระทรวงพาณิชย์จัดเป็นค่าจัดงานประชาสัมพันธ์แฟชั่นยี่ห้อ Sirivannavari
- ให้นายกรัฐมนตรีเตรียมเอกสารทั้งหมดจากการดำเนินการข้างต้นเป็นเอกสาร และส่งให้พนักงานสอบสวนในคดีที่กระผมตกเป็นผู้ต้องหา รวมทั้งมาเป็นพยานในคดีด้วยตนเอง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการใช้สิทธิในการแสวงหาพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และสิทธิในการต่อสู้คดีในกระบวนการยุติธรรม ต่อไป เชื่อมั่นและศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม
ที่มา : เฟซบุ๊ก อานนท์ นำภา