“สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” ประธานกรรมการสถาบันทิศทางไทยได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ประเทศไทยควรจะไปทางไหนโดยระบุว่า.. วัตถุประสงค์การตั้งสถาบันทิศทางไทย โดยมีแรงจูงใจมากจากบ้านเมืองของเรานับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตั้งปี2475 มาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดความผันผวนในประเทสเป็นอย่างมาก เพราะว่าบ้านเมืองอยู่ในมือของคน3กลุ่ม คือทหาร , นักการเมือง และข้าราชการประจำ
กระทั่งเมื่อ20ปีที่ผ่านมา กลุ่มที่4 ซึ่งมีบทบาทแอบซ่อนอยู่ด้านหลังตลอดมา ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางบ้านเมืองมากขึ้นอย่างเปิดเผย และท้ายสุดก็กลายเป็นกลุ่มนำในสังคม คือกลุ่มทุน ทั้งทุนข้ามชาติและทุนในชาติวันนี้บ้านเมืองอยู่มือของกลุ่มคน4คน
สิ่งที่คนไทยกำลังพบเจออยู่ในสถานการณ์ขณะนี้ เป็นผลพวงที่เกิดจากความขัดแย้ง การปะทะกัน ระหว่างคนที่มีอุดมการณ์ 2 อุดมการณ์ ซึ่งอุดมการณ์ณ์แรกจะเรียกตัวเองว่าเป็น อุดมการณ์ประชาธิปไตย ซึ่งก่อนหน้านี้มี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นเสมือนสัญลักษณ์ แต่จะเป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและพิจารณา และอุดมการณ์ที่ 2 คือ อุดมการณ์ที่จะพิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสน์ พระมหากษัตริย์ เพราะเห็นว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยมีความซ้อนเร้นที่จะทำลายรากฐานเดิมของสังคม
ภายใต้ความขัดแย้งและการปะทะกัน ท้ายที่สุดได้ทำให้ทหาร ซึ่งพยายามที่จะถอยบทบาทของตัวเอง ต้องเข้ามาอยู่ในเกมทางการเมืองอีก เพราะเวลาเข้ามาแล้ว มีความเสี่ยง แต่เมื่อเข้ามาแล้วจนวันนี้มีการเลือกตั้ง แต่บรรยากาศที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจาก 20 ปีที่ผ่านมา หรือไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการปะทะนำทหารเข้ามายึดอำนาจ เกิดวงจรอุบาทดังเดิมเข้ามาครอบงำและสูบเลือดเอารัดเอาเปรียบคนไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผล เมื่อเกิดปัญหาวิกฤตทางการเมือง หรือเกิดการเลือกตั้งที่จะนำพากระบวนการทางเมืองที่เดินไปข้างหน้า เราไม่เคยมีการทำข้อมูล (Big data) เพื่อที่ทำความรู้จักต่อโลก ไม่ได้ทำความรู้จักต่อความเป็นไปต่อประเทศ ว่ามีสถานะความเป็นอยู่อย่างไร และจะไปกระทบและเชื่อมโยงโลกอย่างไร
มีแต่คำพร่ำเพ้อของนักการเมือง มีแต่ทหารที่ไม่เข้าใจเศรษฐกิจ แต่จำเป็นที่จะต้องเข้ามาเพื่อระงับเหตุความขัดแย้ง มีนายทุนที่จะคอยสูบเลือด รอจังหวะโกงกิน ติดสินบนนักการเมืองและเข้าควบคุมระบบธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศ มีข้าราชการประจำที่ฝั่งตัว สืบทอดอำนาจกันอย่างต่อเนื่องในแต่ละกระทรวง เพื่อที่จะรับใช้นักการเมือง
ถ้าเราได้ทำความเข้าใจประเทศไทย ที่มีพื้นที่ประมาณ 513,120 ตารางกิโลเมตร มีประชากรอยู่70ล้านคน มีพื้นที่ทำ 513,120 ตารางกิโลเมตร มีประมาณ 321 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ เกษตรประมาณ 152 ล้านไร่ หรือ 30%
พื้นที่ทำนา 71.6 ประมาณล้านไร่ , พื้นที่ทำไร่ และทําสวนประมาณ 35 ประมาณล้านไร่ ที่เหลือเป็น พื้นที่เลียงสัตว์ ปลูกผัก ซึ่งเราไม่เคยได้ทำการศึกษาหรือเรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้ บางปีน้ำแล้งน้ำขาดก็ไม่เคยได้ประมวลข้อมูลที่ให้คนทั้งประเทศเข้าใจว่า เรามีปริมาณน้ำที่อยู่ในอากาศ ,อยู่บนพื้นผิวดิน และใต้ดินจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งเราจะเอาน้ำเหล่านั้นมาใช้ในการสนับสนุนการเกษตร การบริโภคเท่าไหร่ ป้องกันน้ำท่วมอย่างไร เคยมีผู้ทำเรื่องน้ำ สามารถตอบทุกเรื่องได้ บัดนี้ท่านสวรรคตไปแล้ว คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาไม่เคยศึกษาอย่างจริงจังว่าในคน 70 ล้านคน อยู่ภาคไหน จังหวัดใดเท่าไหร่ เพื่อที่จะทำการเชื่อมโยง วางแผน ในการขนคน ขนสินค้า ยกตัวอย่าง ในพื้นที่ทำนา ซึ่งมีอยู่ 71.6 ประมาณล้านไร่ อยู่ที่ภาคอีสานสูงสุด เกินกว่าครึ่ง ต่อมาเป็นภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ แต่ในขณะเดียวกัน ในพื้นที่ปลุกยาง18ล้านไร่ มีพื้นที่ปลุกยางอยู่ในภาคใต้สูงสุด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ หากถูกจัดให้เชื่อมโยง วางแผน การตลาดใช้บริโภคในประเทศ และการส่งออก คิดในการขนคนขนสินค้าเพื่อลดต้นทุน ประหยัดเพื่อลดการนำเข้าพลังงานน้ำมัน จัดการเรื่องสาธารณสุขอย่างมีเป้าหมาย เป็นต้น ที่ผ่านมา
“ เราไม่เคยได้ยินนักการเมืองคนไหนพูดในสิ่งเหล่านี้ เราไม่เคยได้ยินคนที่อาสาตัวไม่ว่าจากการปฏิวัติ หรือการเลือกตั้ง นำพาข้อมูลเหล่านี้เพื่อที่จะจัดการในการดูแลประเทศไทย…เราไม่เคยเห็น “
แต่สิ่งได้เห็น จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ทุกคนล้วนบริโภคข้าว ซื้อข้าวขาวในห้างถุงละ5กิโลกรัม ราคา 150 บาท เท่ากับกิโลกรัมละ 30 บาท ข้าวหอมมะลิ มีตั้งแต่ถุงละ150-220บาท (แล้วแต่คุณภาพของข้าว) เคยสังเกตหรือไม่ว่า ชาวนาประท้วง เรียกร้องทุกปีว่าขายข้าวได้กิโลกรัมละ7บาท ไม่เคยเกิน 8บาท ทั้งนี้ในข้อเท็จจริงข้าวเปลือก 2กิโลกรัม จะสีออกมาเป็นข้าวสารได้ 1กิโลกรัมเศษ ที่เหลือจะเป็นปลายข้าว รำข้าว แกลบ
อนุมานว่าข้าวหอมมะลิ ขายได้ 15-18บาท (รัฐบาลปัจจุบันเข้าบริหารชาวนาดีใจมาก) แต่ในข้อเท็จจะเห็นว่าถ้านำข้าวเปลือก 2กิโลกรัมมาบวกราคาข้าวสาร เราควรซื้อข้าวหอมมะลิในกิโลกรัมละ 30บาท ไม่เกิน 35บาท หนึ่งถุงไม่ควร เกิน 120-140 ไม่ใช่200บาท ข้าวขาวควรขายอยู่ที่ราคา 15-16บาท หนึ่งถุงไม่ควร เกิน 75บาท สูงสุดไม่ควรเกิน 100บาท
ถามว่าทำไมยังต้องทนบริโภคข้าวเหล่านี้ และส่วนต่างของราคาข้าวที่ชาวนาขาย ตกอยู่ที่ใคร นั้นก็คือทุนใหญ่ 3-4ราย ซึ่งเป็นทุนผูกขาดประเทศนี้ ให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองแต่ละพรรค พรรคล300-2,000ล้านบาท แล้วแต่การคาดการณ์ว่าพรรคการเมือง พรรคไหนจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และก็ผูกขาดราคาข้าว อีกทั้งส่วนหนึ่งที่ราคาข้าวจำเป็นต้องเป็นแบบนี้ เพราะข้าราชการประจำไปรับใช้กลุ่มทุนพวกนี้ กำหนดราคาข้าวจากการส่งออก ราคาข้าวที่ชาวนาได้ ถูกกำหนดมาจากข้าวที่เราไปส่งออก เป็นข้ออ้างบอกว่าซื้อข้าวของชาวนาราคาเท่านี้ ในขณะที่พ่อค้าข้าวในประเทศปีหนึ่งหลายหมื่นล้าน ได้สูบเลือดชาวนา เอาเงินไปเข้ากระเป๋าไม่มีพรรคการเมืองไม่มีกลุ่มอำนาจไหนในปัจจุบันพูดในสิ่งเหล่านี้
ขณะเดียวันโลกทั้งโลกมีคนอยู่7พันล้านคน อีก30ปีข้างหน้า สหประชาชาติบอกว่าจะเพิ่มเป็นหนึ่งหมื่นล้านคน จะเกิดขึ้นในประเทศที่ยากจนและมีพื้นที่อยู่อาศัยที่หนาแน่ ขณที่คนไทยปัจจุบันที่70ล้านคน จะลดลงเหลือ 60ล้านคน ลองประมวลคิดถึงลูกหลานที่จะเติบโตในอนาคต การจัดการของประเทศให้สัมพันธ์กับโลก เราจะทำอย่างไร
อีกทั้งแรงงานของคนถูกทดแทนด้วย หุ่นยนต์ เพิ่มขึ้นทุกวัน จากที่เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ที่เคยใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ต่อไปเครื่องยนต์กลไกต่าง ๆจะเข้าไปแทนแรงงานภาคบริการ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในธนาคาร จากเดิมสาขาหนึ่งมีพนักงาน 40-50คน เหลือ 8-10 คน สิ่งเหล่านี้จะเกิดแรงเหวี่ยง อย่างรุนแรง ส่วน แรงงานต่างชาติที่จดทะเบียนอย่างถูกกฎหมายมีอยู่2.3ล้านคน มาแทนแรงงานไทย ทำถามคือแล้วแรงงานไทยเหล่านี้อยู่ที่ไหน หายไหน กลับไปทำภาคเกษตรใช่หรือไม่ หรือ ค้าขายรายย่อยในโลกออนไลน์หรือไม่ ส่วนมหาวิทยาลัยจะค่อยๆ หดตัว เลิกล้มกิจการ เพราะการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ และปริมาณคนที่ลดลง ธุรกิจบ้านจัดสรร ซึ่งก็ได้รับผลกระทบโลกที่เปลี่ยนแปลงจากปริมาณคนที่มากขึ้นต้องการอาหาร ที่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้คือปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม”สนธิญาณ” ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า .. โลกทั้งโลกถูกครอบงำด้วยกลุ่มทุน6-7กลุ่มที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า Fed ซึ่งกำหนดค่าเงิน กำหนดนโยบาย เปโตรดอลลาร์ เพื่อบังคับให้ทุกประเทศซื้อน้ำมันภายใต้ดอนลาร์ เพื่อที่ให้ Fed พิมพ์เงินดอนลาร์ออกมาเท่าไหร่ก็ได้ แค่รบ.สหรัฐฯ หรือ ธนาคารกลางเป็นของรบ.กลางสหรัฐฯ สหรัฐฯก็มีอำนาจพิเศษแล้ว แต่อภิสิทธิ์นั้นกลับลงไปที่กลุ่มทุนของ6-7ตระกูลใหญ่ที่คุมทุนทั้งโลก ซึ่งมีปริมาณทุนเกินกว่า90% ในการคุมโลกทั้งโลก จีนถึงไม่ยอมรับ อิรัก ลิเบีย ไม่ยอมรับ ก็ถูกทำลาย แต่ทำลายจีนไม่ได้ (จีนจับมือกับรัสเซีย) นี่คือสภาวการณ์ของโลก ที่มีการเผชิญหน้ากัน ระหว่างที่จีนเติบโตเผชิญหน้าสหรัฐฯ เกิดแรงเหวี่ยงทางด้านค้าขาย และไทยก็ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ในด้านของสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างโลกที่เป็นไปกับสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงกับน้ำแข็งทั่วโลกที่ละลาย ทำให้เปลี่ยนทิศทางของกระแสน้ำอุ่น กระแสน้ำเย็น ให้การเกิดแรงกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง เกิดมรสุม ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง กระทบต่อสภาพดินฟ้าอากาศ และการหากินในภาคการเกษตร นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งโลกและในประเทศไทย